โดยปกติแล้ว หัวใจของคนเรามีอัตราการเต้นประมาณ 60 – 100 ครั้ง/นาที สำหรับผู้ใหญ่ 70 – 100 ครั้ง/นาที สำหรับเด็กอายุ 6-15 ปี
ถ้าหัวใจของคุณมีอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าปกติข้างบน ถือว่าเกิดสภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ แต่ก็จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ ด้วย
สภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เป็นโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ (ไม่ใช่โรคติดต่อ) สภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เกิดจากการเต้นของหัวใจไม่เป็นไปในจังหวะเดียวกัน (หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ) ไม่ว่าจะเป็นการที่หัวใจเต้นเร็วไป หรือ หัวใจเต้นช้าไป ก็ถือว่าอาการดังกล่าวคือสภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งสิ้น
สภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เกิดได้ทั้งหัวใจห้องบนและห้องล่างมีทั้งในแบบที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเป็นอันตราย เช่น อาการหัวใจห้องล่างเต้นเร็วรัว (Ventricular Tachycardia) อาการหัวใจเต้นผิดปกติประเภทนี้ หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาทันที อาจจะเป็นส่งผลอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยได้ และ สภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) นั้นเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่พบบ่อยที่สุด สภาวะนี้อาจจะไม่ส่งผลเสียถึงชีวิต แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากสภาวะนี้ส่งผลต่อ สภาวะหัวใจล้มเหลว และ หลอดเลือดสมองอุดตันนั่นเอง
สาเหตุของหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
สาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย โดยการที่หัวใจจะเต้นเร็วหรือช้าลงขึ้นกับพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ประวัติสุขภาพ และปัจจัยแวดล้อมของผู้ป่วยแต่ละราย โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ได้แก่
- ความผิดปกติแต่กำเนิดหรือความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด ลิ้นหัวใจรั่ว ผนังหัวใจหนาผิดปกติ หลอดเลือดหัวใจตีบ
- ความผิดปกติของร่างกายที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ อิเล็กโทรไลต์ในร่างกายผิดปกติ
- ยาและสารบางชนิด เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของแอมเฟตามีน คาเฟอีนที่อยู่ในชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม
- ความเครียดและความวิตกกังวล
หัวใจเต้นผิดปกติมีอาการอย่างไร?
1. ถ้าผู้ป่วยมีหัวใจเต้นช้าผิดปกติ จะมีอาการเด่นที่สำคัญคือ
1.1 ร่างกายได้รับเลือดไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ก็จะมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ถ้าเป็นมากขึ้นก็จะมีอาการเหนื่อยแม้ในขณะพัก
1.2 ถ้าเต้นช้าขั้นรุนแรงจะมีอาการหน้ามืด หมดสติหรือเสียชีวิตจากหัวใจหยุดเต้น
2. ในรายที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
2.1 มีอาการใจสั่น
2.2 หัวใจเต้นเร็วและแรง
2.3 เหนื่อยในผู้ป่วยสูงอายุหรือมีโรคหัวใจอ่อนกำลังอยู่เดิม
2.4 อาจทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำหัวใจล้มเหลว หมดสติ หรือเสียชีวิตได้
ในกรณีที่เกิดความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจเต้นเร็วเกินไป เต้นช้าเกินไป มีจังหวะหัวใจที่ขาดหายไปหรือแทรกมาก่อนจังหวะปกติ เหล่านี้ล้วนจัดเป็นหัวใจเต้นผิดปกติทั้งสิ้น โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะนี้ บางชนิดอาจไม่เป็นอันตราย แต่บางชนิดหากไม่ได้รับการตรวจอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ได้ เพราะฉะนั้นหากมีอาการผิดปกติ เช่น
- วิงเวียน
- หน้ามืด
- ตาลาย
- ใจสั่นบริเวณหน้าอก
- หายใจขัด
- เจ็บแน่นบริเวณหน้าอก
- เป็นลมหมดสติ
ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
สภาวะหัวใจเต้นผิดปกตินั้นวินิจฉัยค่อนข้างยาก เพราะผู้ป่วยมักไม่มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติในขณะที่กำลังตรวจร่างกายอยู่ และนอกจากนี้สภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ยังสามารถเกิดได้ในกรณีที่คุณมีสภาวะโรคอื่นๆด้วย เช่น
- ลิ้นหัวใจผิดปกติ
- กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
- หลอดเลือดหัวใจตีบตัน
- ความดันโลหิตสูง
- ความผิดปกติอื่นๆ
นอกจากนี้ สภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกตินั้นยังมีสาเหตุมาจากอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด เช่น
- การดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ช็อคโกแลตบางชนิด
- การสูบบุหรี่ หรือยาสูบ
- การใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น
- เกิดความแปรปรวนในระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ความเครียด วิตกกังวล สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดสภาวะหัวใจเต้นเร็วได้ทั้งสิ้น
สภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ รักษาได้ทางใดบ้าง
สภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกตินั้นมีวิธีการรักษาหลายวิธี ซึ่งการรักษาในแต่ละครั้งนั้นแพทย์จะพิจารณาตามสาเหตุ อาการ ตำแหน่งและความรุนแรงของโรค ซึ่งวิธีการรักษาสภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกตินั้น มีวิธีดังนี้
การใช้ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ เนื่องจากสภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นมีการตอบสนองที่ดีต่อยาควบคุมจังวะของหัวใจ แม้ว่า ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจนั้น จะไม่ช่วยให้หายขาดจากสภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ แต่ก็ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการที่เกิดได้
สภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติในบางประเภทแพทย์จะใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจใหม่ ซึ่งการรักษาประเภทนี้ คือการใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องส่งภายนอกร่างกาย ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นแปะบริเวณหน้าอกของผู้ป่วยและจ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจนั่นเองค่ะ
การรักษารูปแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อแพทย์สามารถวินิจฉัยถึงสาเหตุและตำแหน่งที่ก่อให้เกิดความผิดปกติได้แล้ว ซึ่งการรักษารูปแบบนี้ จะเป็นการรักษาโดยการที่แพทย์จะปล่อยคลื่นวิทยุความถี่สูงจุดเล็กๆเพื่อทำลายเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นสาเหตุของอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งการรักษาประเภทนี้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุและสามารถทำให้โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภทหายขาดได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระแสไฟฟ้าในหัวใจ (Electrophysiologist) เท่านั้น
การรักษาอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจนั้น คือ การที่แพทย์จะทำการฝังเครื่องมือเล็กๆไว้ใต้ผิวหนังบริเวณกระดูกไหปลาร้า และสอดสายนำไฟฟ้าไปยังหัวใจ เครื่องจะทำการตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจ สายนำไฟฟ้าจะเป็นตัวควบคุม และกระตุ้นให้หัวใจเต้นตามอัตราที่กำหนด
วิธีการฝังจะคล้ายๆกับการรักษาด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ เพียงแต่ เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจนั้นจะเป็นวิธีการรักษากับผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติ (Ventricular Fibrillation) ที่ทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตได้
เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจนี้ จะสามารถทำงานได้ทั้งกรณีที่หัวใจเต้นช้าและเต้นเร็ว กล่าวคือ เมื่อหัวใจเต้นช้าผิดปกติ เครื่องมือจะทำการกระตุ้นหัวใจเช่นเดียวกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) และในกรณีที่หัวใจเต้นเร็วขนาดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เครื่องไฟฟ้าจะปล่อยพลังงานไฟฟ้าในระดับที่เหมาะสม เพื่อกระตุกหัวใจให้กลับมาเต้นในระดับปกติ
อย่างที่บอกไว้ว่า โรคหัวใจเต้นเร็วผิดปกตินั้นไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กหรืออยู่ในวัยทำงานก็สามารถเกิดสภาวะหัวใจเต้นเร็วได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้แล้วหัวใจเต้นผิดปกติอาจเกิดจากโรคแพนิคก็เป็นได้
โรคแพนิค (Panic)
โรคแพนิค (Panic Disoder) คือ ภาวะตื่นตระหนกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลหรือหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งโรคนี้แตกต่างจากอาการหวาดกลัวหรือกังวลทั่วไป เนื่องจากผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิค (Panic Attacks) หรือหวาดกลัวอย่างรุนแรงทั้งที่ตัวเองไม่ได้เผชิญหน้าหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย อาการแพนิคเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคแพนิครู้สึกกลัวและละอาย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ไม่รู้กลัวอะไร แต่ใจมันหวิว?
อาการหลักของโรคนี้ ได้แก่ อาการตกใจกลัวอย่างรุนแรงหรือที่เรียกว่าอาการแพนิค ที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้ง โดยมากจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ และจะมีอาการอยู่สั้นๆประมาณ 5-10นาทีไม่นานเกิน 30 นาที ทำให้ผู้ป่วยกลัวที่จะเกิดอาการซ้ำอีก กังวลกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากอาการ หรือกลัวเกิดอาการซ้ำในที่สาธารณะจนหลีกเลี่ยงการออกไปไหนมาไหน จึงมีผลรบกวนกับชีวิตประจำวันในด้านต่าง ๆ
อาการของแพนิคมีได้หลาย ๆ อย่าง ได้แก่
โดยที่จะมีอาการหลาย ๆ อย่างดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ไม่จำเป็นต้องมีทุกอาการ
โรคแพนิคเกิดจากอะไร
สาเหตุของโรคแพนิคยากจะระบุได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคแพนิคอาจเกิดจากปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยทางสุขภาพจิต ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคทางกายจริงๆหรือเป็นแพนิค
เนื่องจากอาการหลาย ๆ อย่างของโรคแพนิคนั้นสามารถเกิดได้จากโรคทางกายอื่น ๆ เช่น
- อาการแน่นหน้าอกจากโรคหัวใจหรือโรคปอด
- อาการใจสั่นหน้ามืดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด รวมทั้งยาเสพติดและคาเฟอีน
ดังนั้นเมื่อเกิดอาการขึ้นเป็นครั้งแรก หรือเมื่อไม่แน่ใจในสาเหตุของอาการ ควรพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยให้ถูกต้องก่อนว่าอาการไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น และถ้าไม่แน่ใจหรืออาการเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจต้องมาพบแพทย์ที่หน่วยฉุกเฉินเพื่อตรวจรักษา
เป็นแล้วจะรักษาอย่างไร?
การรักษาโรคแพนิคควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช โดยที่การรักษาจะใช้การผสมผสานระหว่างการให้ยาเพื่อลดอาการแพนิค และให้ยาเพื่อคุมอาการในกรณีที่มีอาการมาก ร่วมกับการรักษาทางจิตสังคม เช่น
- การทำพฤติกรรมบำบัด
- การผึกการผ่อนคลาย
- การทำจิตบำบัด
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจรักษาภาวะทางกายหรือจิตเวชอื่น ๆ ที่อาจจะพบร่วมกับโรคแพนิคได้ เช่น
- โรคหัวใจ
- โรคซึมเศร้า
- โรควิตกกังวลชนิดอื่น ๆ
- ติดสุราหรือสารเสพติดอื่น ๆ
เมื่อรักษาด้วยยาคุมอาการ อาจจะมีความจำเป็นต้องรับประทานยาต่อเนื่องหลายเดือนขึ้นอยู่กับอาการและการตอบสนองต่อยา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้ในที่สุดแต่บางส่วนจะมีอาการกลับมาเป็นซ้ำอีกโดยเฉพาะเมื่อมีภาวะเครียดเกิดขึ้น
ถ้ามีโรคแพนิคจะดูแลตนเองอย่างไร?
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คนไข้อาจไม่กล้าทำ เพราะคิดว่าจะยิ่งทำให้ใจสั่นเวลาเหนื่อย แต่ที่จริงแล้วการออกกำลังกลับทำให้ระบบหัวใจ และปอดทำงานสมดุลขึ้น
- พักผ่อนอย่างเพียงพอและมีสุขลักษณะการนอนที่ดี หากอดนอนโรคจะกำเริบง่าย
- งดใช้คาเฟอีน (ชา กาแฟ ชาเขียว เครื่องดื่มชุกำลัง) สุรา และสารเสพติด เพราะอาจมีฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดแพนิค
- การผึกการผ่อนคลายด้วยวิธีเหล่านี้ โดยต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอและใช้เวลาอย่างน้อยครั้งละ 15-20 นาที
- การฝึกหายใจเข้าออกช้า ๆ
- การฝึกสมาธิ หรือเดินจงกรม
- การฝึกจินตนาการเพื่อการผ่อนคลาย โดยอาจใช้ฟังเพลงช่วย
- การผึกโยคะ ไทเก็ก หรือการออกกำลังที่ประสานร่างกายและจิตใจ
- การได้ปรึกษาหรือระบายปัญหากับผู้ที่ตนไว้ใจหรือศรัทธา หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิต
- การจัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่นศึกษาธรรมะ หรือทำงานอดิเรกที่ผ่อนคลาย
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา และแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อมีอาการเกิดขึ้นหลังจากใช้ยา
- เวลาเป็นแพนิค อย่าเพิ่งตกใจ อย่าคิดต่อเนื่องไปว่าจะป่วยหนักหรือจะหัวใจวายตาย เพราะจะยิ่งทำให้เครียดและ ยิ่งเป็นมากขึ้น ให้นั่งพักและรออาการสงบไป ซึ่งจะหายไปเองเหมือนครั้งก่อนๆที่เคยเป็น หรือรับประทานยาที่แพทย์ให้ไว้ใช้เวลาที่เกิดอาการแล้วพักสักครู่รอยาออกฤทธิ์ ขอให้มั่นใจว่าไม่เคยมีใครตายจากโรคแพนิค มีแต่คนที่เป็นแล้วคิดมากจนไม่มีความสุข เลยไม่หายและยิ่งเป็นบ่อยๆ
ถ้าเหนื่อยเพลียง่าย สุขภาพไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันน้อย นอนไม่หลับ..ขอแนะนำ..โกเรจินส์..Koregins...ประกอบด้วย..โสมสกัด, เห็ดหลินจือ, ถั่งเช่า, นมผึ้ง...ฯลฯ..อเลอไทด์..Alertide...ช่วยความจำ..ดีบูน... Dboone...กระดูกและข้อ...
ติดต่อ..เล็ก..092 451 5905...คลิ๊กเลย
หน้าที่เข้าชม | 291,673 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 253,709 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ส.ค. 2568 |