การตรวจเลือดหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC)
คือ การตรวจสุขภาพโดยการนับปริมาณและการดูรูปร่างของเซลล์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเลือด เช่น เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว (ค่าwbc) เกร็ดเลือด ซึ่งผลของการวัดค่าต่างๆ จะบ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ตรวจและค่าสภาวะของเลือดว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด จะแสดงข้อมูลของเม็ดเลือดที่สำคัญในมนุษย์ 3 กลุ่ม ได้แก่ เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell; RBC) เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell; WBC) และเกล็ดเลือด (Platelet; PLT) ซึ่งค่าแต่ละชนิดสามารถแปลความหมายโดยละเอียดได้ดังนี้
1.1 ฮีโมโกลบิน Hemoglobin (Hb/HGB)
คือ ค่าระดับโปรตีนหรือสารสีแดงในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่จับกับออกซิเจนเพื่อที่จะนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย เป็นการบ่งบอกว่าร่างกายมีภาวะเลือดจางหรือไม่ ซึ่งได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานไว้ดังนี้
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชาย = 13.5-17.5 g/dL |
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้หญิง = 12.0-15.5 g/dL |
ถ้าค่าที่ตรวจวัดได้มีค่าน้อยกว่ามาตรฐานแสดงว่ามีผู้ตรวจมีภาวะโลหิตจาง (Anemia) เกิดขึ้น ส่งผลให้เลือดไม่สามารถพาออกซิเจนไปเข้าสู่ร่งกายได้เพียงพอต่อความต้องการ
หรือค่าที่ตรวจวัดได้มีค่ามากกว่ามาตรฐานแสดงว่าผู้ตรวจมีภาวะเลือดแดงมากหรือภาวะเลือดหนืด (Polycythemia) คือ ภาวะที่ไขกระดูกทำการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงในจำนวนที่มากผิดปกติ ส่งผลให้เลือดมีความเข้มข้นสูงไหลเวียนได้ช้าลงและมีความเสี่ยงที่เม็ดเลือดแดงเกิดการอุดที่หลอดเลือดฝอยได้ ซึ่งลักษณะนี้จะพบได้น้อยมาก
1.2 ฮีมาโทคริต (Hematocrit, Ht หรือ HCT) หรือ Erythrocyte Volume Fraction (EVF) หรือ Packed cell volume (PCV)
คือ ค่าปริมาณความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาตรของเลือดทั้งหมด ซึ่งค่านี้จะแสดงโดยการวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นค่าที่ใช้บ่งบอกสภาะโลหิตจางเช่นเดียวกับค่า Hemoglobin ซึ่งมีการกำหนดค่ามาตราฐานไว้ดังนี้
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชายมีค่าประมาณ 40-50 % |
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้หญิงมีค่าประมาณ 35-47% |
ถ้าค่า Hct มีค่าน้อยกว่ามาตรฐานแสดงว่าร่างกายอาจจะอยู่ในสภาวะโลหิตจาง แต่ถ้าค่า HCT มีค่ามากกว่ามาตรฐานแสดงว่ามีภาวะเลือดหนืดเช่นเดียวกับค่าของ Hb ซึ่งในการตรวจเลือด ผลของ Hb และ Hct จะไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นโรคโลหิตจางหรือไม่ และค่า Hct จะมีค่ามากกว่าค่า Hb ประมาณ 3 เท่าเสมอ
1.3 White Blood Cell Count (WBC Count)
คือ จำนวนของเม็ดเลือดขาวทุกชนิดที่มีทั้งหมดในเลือดในขณะที่ทำการตรวจ
ค่ามาตรฐานของเซลล์เม็ดเลือดขาว (ค่า wbc) ที่สภาวะปกติ คือ ประมาณ 4,500-10,000 cell/ml (cells/mm3) |
– ค่า WBC Count มีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน แสดงว่า ร่างกายอยู่ในสภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia) อาจเกิดจากภาวะติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ความผิดปกติของไขกระดูก ภาวะแพ้ภูมิตัวเอง
– ค่า WBC Count มีค่าสูงกว่ามาตรฐาน แสดงว่า ร่างกายอยู่ในสภาวะเม็ดเลือดขาวสูง (Leukocytosis) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอักเสบหรือติดเชื้อภายในร่างกายทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อมาจัดการกับเชื้อโรคหรือไขกระดูกมีความผิดปกติ (Myeloproliferative Disorder) ที่ส่งผลให้ไขกระดูกสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมากขึ้นผิดปกติ เป็นต้น
การรายงานจำนวนของเม็ดเลือดขาวนั้น นอกจากจะรายงานเป็นผลรวมของเซลล์เม็ดเลือดขาวทั้งหมดที่ตรวจพบแล้ว ยังสามารถรายงานแยกเป็นจำนวนเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดได้ด้วย ซึ่งเรียกการรายงานผลแบบนี้ว่า White Blood Cell Differential (WBC Differential)
1.นิวโทรฟิล (Neotrophil : NEUT)
คือ เม็ดเลือดขาวที่มีพบอยู่ในเลือดมากที่สุด มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อรา (Fungi) และเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria) จากภายนอกที่เข้ามาในร่างกาย นิวโทรฟิลเป็นเม็ดเลือดขาวด่านแรกมีหน้าที่ดักจับเชื้อโรค เมื่อนิวโทรฟิลตายจะกลายเป็นน้ำหนอง (Pus) ค่าของนิวโทรฟิลจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 cells/ml หรือประมาณ 40-80% ค่าของนิวโทรฟิลจะมีค่าสูงเมื่อร่างกายของผู้ตรวจอยู่ในสภาวะติดเชื้อ
2.ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes : LYMP)
คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการต่อต้านเชื้อไวรัส (Virus) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
– T Cell มีหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรค
– B Cell มีหน้าที่ในการสร้าง Antibody เพื่อจับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย
– NK Cell มีหน้าที่ในการกำจัดเซลล์ที่เกิดการติดเชื้อ
ค่าโดยรวมของเซลล์ทั้ง 3 ชนิด จะมีค่าประมาณ 20-40% หรือประมาณ 1,000-3,000 cells/ml ค่าลิมโฟไซต์จะมีค่าสูงเมื่อมีการติดเชื้อไวรัสอย่างเฉียบพลัน เช่น การติดเชื้ออีสุกอีใส การติดเชื้อหัด การติดเชื้อวัณโรค เป็นต้น
3.โมโนไซต์ (Monocyte : MONO)
คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคและจดจำลักษณะของเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะพบได้เล็กน้อยในกระแสเลือด การตรวจจะมีค่ามาตรฐานประมาณ 2-10 % หรือประมาณ 200-1,000 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่อผู้ตรวจอยู่ในระยะฟื้นตัวจากการติดเชื้อ
4.อีโอซิโนฟิล (Eosinophils : EOS)
คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการต่อต้านพยาธิ อารอักเสบหรืออาการแพ้ต่างๆ โดยอีโอซิโนฟิลจะปล่อยเอ็นไซม์ (Enzyme) และสารเคมีกลุ่มไซโตไคน์ (Cytokine) มีค่ามาตรฐานประมาณ 1-6% หรือ 20-500 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่ออยู่ในสภาวะภูมิแพ้ (Allergy) หรือสภาวะที่มีพยาธิอยู่ในร่างกาย
5.เบโซฟิล (Basophils)
คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่เหมือนกับอีโอซิโนฟิล แต่เบโซฟิลจะปล่อยสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งมีหน้าหน้าที่ในการก่อปฏิกิริยาภูมิแพ้ (Anaphylaxis) ซึ่งมีค่ามาตรฐานน้อยกว่า 1-2% หรือ 20-1,000 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น การแพ้อาหาร ลมพิษ หรือการเกิดการอักเสบชนิดเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
1.4 ค่าเกร็ดเลือด (Platelet Count : PLT)
คือ จำนวนของเกร็ดเลือดหรือเม็ดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดที่มีอยู่ในเลือด เกร็ดเลือดสร้างจากไขกระดูก เกร็ดเลือดจะมีอายุอยู่ประมาณ 8-9 วัน หลังจากที่เกร็ดเลือดหมดอายุจะถูกกำจัดโดยตับและม้าม เกร็ดเลือดมีหน้าที่ทำให้เลือดแข็งตัว (Blood Clotting) ป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียเลือดมาก โดยเมื่อร่างกายเกิดบาดแผลหรือมีเลือดไหล เกร็ดเลือดจะมีการพองตัวและรวมตัวกันเป็นกลุ่มทำเลือดเป็นก้อนเหนียวในหลอดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดเป็นการหยุดการไหลของเลือดนั่นเอง ค่าเกร็ดเลือดปกติหรือค่าของเกร็ดเลือดมาตรฐานอยู่ที่ 130,000 – 400,000 cell/ml
– ค่าเกร็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) คือ มีค่าเกร็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 cell/ml จะส่งผลให้เลือดหยุดไหลช้าเมื่อเกิดบาดแผล และมีการเกิดจุดเลือดออก (Petechia) ขึ้นตามผิวหนัง
– ค่าเกร็ดเลือดสูง (Thrombocytosis) คือ มีค่าเกร็ดเลือดมากกว่า 400,000 cell/ml จะส่งผลให้เลือดจะแข็งตัวเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดมีการแข็งตัวในหลอดเลือดจนเกิดการอุดตันของหลอดเลือด
ค่าเกร็ดเลือดนอกจากจะรายงานในรูปแบบของ Platelet Count แล้วยังมีการรายงานในผลของเกร็ดเลือดในแบบ Platelet morphology คือ การตรวจดูจำนวน ขนาดและรูปร่างของเกร็ดเลือดโดยละเอียด ว่ามีการจับตัวเป็นกลุ่ม (Clumping) หรือไม่ เพราะว่าถ้าเกร็ดเลือดมีการจับตัวเป็นกลุ่มอาจจะทำให้มีความเสี่ยงในการแข็งตัวของเลือดได้ ซึ่งการรายงานผลจะแจ้งว่าเพียงพอหรือไม่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งจะรายงานคู่กับกับการรายงานแบบ Platelet Count เสมอ
การจะทราบหมู่เลือดจะต้องหาค่าเจาะเลือด ดังนี้
หมู่เลือด (Blood Group) คือ การบ่งบอกว่าเลือดอยู่ในหมู่เลือดใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
2.1 ระบบ ABO System
เป็นระบบที่นิยมนำมารายงานผลโดยทั่วไป โดยจะระบุว่าเลือดของผู้ตรวจอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งกลุ่มเลือดจะแบ่งออกเป็น 4 หมู่คือ หมู่ A หมู่ B หมู่ O และหมู่ AB
2.2 ระบบ Rh system
เป็นการระบุหมู่เลือดตาม Antigen บนเม็ดเลือด ซึ่งระบบ Rh จะมีอยู่ 2 หมู่ คือ
– Rh+ve หรือ +ve คือ เม็ดเลือดแดงที่มี Rh (Rhesus) Antigen ซึ่งคนไทยส่วนมากจะมีกลุ่มเลือดอยู่ในกลุ่มเลือดนี้ |
– Rh-ve หรือ –ve คือ เม็ดเลือดแดงที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen ซึ่งคนที่มีเลือดในกลุ่มนี้จะพบได้ไม่มากนักในคนไทย |
ระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar)
คือ การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ในเลือด สำหรับการคัดกรองผู้ตรวจว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ซึ่งการตรวจจะมีผลระดับน้ำตาลในเลือดผู้ตรวจควรงดน้ำ งดอาหารก่อนการตรวจอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง เพื่อที่ค่าที่ตรวจได้จะมีความแม่นยำ โดยค่าปกติของระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ 75-110 mg/dl
– ระดับน้ำตาลมีค่ามากกว่า 110 – 140 mg/dl คือ ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะมีอาการของโรคเบาหวาน
– ระดับน้ำตาลมีค่ามากกว่า 140 – 200 mg/dl คือ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น
ระดับน้ำตาลมีค่ามากกว่า 200 mg/dl คือ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและต้องได้รับการรักษาจากแพทย์
การตรวจสุขภาพเป็นเพียงการตรวจเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ตรวจว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อที่ผู้รับการตรวจจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลด้านโภชนาการอาหาร การออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายที่เป็นอยู่เพื่อที่ร่างกายจะได้มีสุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
การตรวจระดับไขมันในเลือด คือ การวัดค่าของไขมันที่มีอยู่ในเลือด การตรวจนี้ก็เพื่อที่ต้องการทราบถึงชนิดของไขมันที่มีอยู่ในเลือดว่าเป็นไขมันชนิดไหนอยู่บ้าง ซึ่งการรู้ว่าในเลือดมีไขมันชนิดดีหรือไม่ดีจะทำให้ผู้ตรวจดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคในอนาคตได้ ซึ่งการตรวจจะมีการตรวจไขมัน 4 ชนิด คือ
1.คอเรสเตอรอลรวม (Total Cholesterol:TC)
เป็นการวัดปริมาณคอเลสเตอรรอลทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดีและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่มีอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลมีค่าไม่เกิน 200 mg/dl
2.ไตรกลีเซอรไรด์ (Triglyceride)
คือ ไตรกลีเซอไรด์มาได้จากการสังเคราะห์ในร่างกายและการรับประทานอาหารที่มีไขมันเข้าไป ไตรกลีเซอไรด์จะมีการเปลี่ยนไปเป็นไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ถ้าไตรกลีเซอไรด์มีค่าสูง แสดงว่าร่างกายก็จะมีการสะสมของไขมันเพิ่มมากขึ้น มีความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว เมื่อมีการสะสมมากจะทำให้เกิดภาวะอ้วนซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ ตามมา ซึ่งค่ามาตรฐานของไตรกลีเซอไรด์มีค่าไม่เกิน 150 mg/dl
3.ไขมันชนิดดี (High Density Lipoprotein : HDL)
คือ คอเลสเตอรอลชนิดที่ดีที่ตับสังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งในเลือดควรมีค่า HDL ไม่ต่ำกว่า 40 mg/dl จึงจะอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพราะว่า HDL มีหน้าที่ป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ
4.ไขมันชนิดเลว (Low Density Lipoprotein : LDL)
คือ การวัดค่าไขมันชนิดไม่ดี ซึ่งไขมันชนิดนี้มาได้จากการรับประทานเข้าไปและการสังเคราะห์ที่ตับ LDL สามารถเข้าไปสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เป็นไขมันส่วนเกิน และสามารถสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบหรืออุดตันได้ ซี่งไม่สาเหตุหลักของการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งในร่างกายไม่ควรมี LDL เกิน 100 mg/dl เพราะถ้าเกินกว่านี้ร่างกายจะเกิดการสะสมไม่สามารถกำจัดหรือใช้งานได้หมด
ค่าดัชนีมวลกายสูง และเป็นโรคอ้วน เสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง ?
ในกรณีที่มีค่าดัชนีมวลกายสูง และถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย ได้แก่
หน้าที่เข้าชม | 291,666 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 253,702 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ส.ค. 2568 |