
ฮอร์โมน (อังกฤษ: hormone มาจากภาษากรีก horman แปลว่า เคลื่อนไหว)
คือ ตัวนำส่งสารเคมีจากเซลล์กลุ่มของเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์อื่น ๆ สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (multicellular organism) ทั้งพืชและสัตว์ สามารถผลิตฮอร์โมนได้ที่ ต่อมไร้ท่อ (endocrine gland) โมเลกุลของฮอร์โมนจะถูกปล่อยโดยตรงยังกระแสเลือด ของเหลวในร่างกายอื่นๆ หรือเนื้อเยื่อใกล้เคียงเพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะเป้าหมาย ( target organ ) ฮอร์โมนส่วนใหญ่เป็นสารประเภทโปรตีน อามีนและสเตียรอยด์
หน้าที่ของฮอร์โมน
คือการส่งสัญญาณให้ทำงานหรือหยุดทำงาน เช่น
1. กระตุ้นหรือยับยั้งการเจริญเติบโต2. กระตุ้นหรือยับยั้งโปรแกรมการสลายตัวของเซลล์3. กระตุ้นหรือยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน4. ควบคุม กระบวนการสร้างและสลาย (metabolism) และเตรียมพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ๆ เช่น การต่อสู้ หนี หรือ กำหนดช่วงเวลาของชีวิตเช่น วัยรุ่น วัยมีครอบครัวมีลูกหลานไว้สืบสกุล และวัยทอง
อัตราการผลิตฮอร์โมนจะถูกควบคุมโดยระบบ ภาวะธำรงดุล (Homeostasis) ซึ่งจะเป็นแบบผลป้อนกลับทางลบ (negative feedback) ระบบควบคุมภาวะธำรงดุลของฮอร์โมนมีส่วนของการผลิตที่ขึ้นกับ กระบวนการสร้างและสลาย (metabolism) ของฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ
การหลั่ง ฮอร์โมน ถูกกระตุ้นหรือยับยั้ง โดย
- ฮอร์โมน อื่น (กระตุ้น หรือ ปล่อย ฮอร์โมน)
- ความเข็มข้นของไออนในพลาสมา หรือสารอาหาร และการเชื่อมต่อกับ กลอบูลิน (globulin)
- นิวรอน (Neuron) และบทบาททางจิตใจ
- การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น แสงและอุณหภูมิ

ฮอร์โมนกลุ่มพิเศษได้แก่ โทรฟิกฮอร์โมน (trophic hormone)
มีบทบาทกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนในต่อมไร้ท่ออื่น เช่น ไทรอยด์ - สติมูเลติ่ง ฮอร์โมน (thyroid-stimulating hormone (TSH)) มีบทบาทเกี่ยวกับการเจริญเติบโต และกระตุ้นฮอร์โมนอื่นของต่อมไทรอยด์

ล่าสุดพบสารประกอบใหม่ที่อยู่ในกลุ่มฮอร์โมน ชื่อ "ฮอร์โมนหิว" ("Hunger Hormones") ซึ่งประกอบด้วย
- กรีลิน (ghrelin)
- โอรีซิน (orexin )
- พีวายวาย 3-36 (PYY 3-36)
- และ แอนตาโกนิสต์ ของมันชื่อ เลปติน (leptin)
ประเภทของฮอร์โมน
ฮอร์โมนของสัตว์มีกระดูกสันหลังแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้:
1. ฮอร์โมน อนุพันธ์ของอะมีน (Amine-derived hormone) เป็นอนุพันธ์ของ กรดอะมิโน ไทโรซีนและ ทริปโตแฟน (tryptophan) ตัวอย่าง เช่น แคทีคอลามีน (catecholamine) และ ไทโรซีน(thyroxine)
2. เพปไทด์ฮอร์โมน (Peptide hormone) ประกอบด้วยโซ่ของ กรดอะมิโน ตัวอย่าง เช่น เพปไทด์ฮอร์โมน เล็กอย่าง TRH และ วาโซเพรสซิน เพปไทด์ประกอบด้วยโซ่ กรดอะมิโน ที่ต่อกันเป็นโมเลกุลของ โปรตีน ตัวอย่าง โปรตีนฮอร์โมน ได้แก่ อินสุลิน และโกรว์ทฮอร์โมน
3. สเตอรอยด์ฮอร์โมน (Steroid hormone) เป็นอนุพันธ์จาก คอเลสเตอรอล (cholesterol) แหล่งผลิตในร่างกายได้แก่ เปลือกต่อมหมวกไต (adrenal cortex) และ ต่อมบ่งเพศ (gonad) ตัวอย่างเช่น3.1 สเตอรอยด์ฮอร์โมน คือ เทสโตสเตอโรน และ คอร์ติโซน3.2 สเตอรอลฮอร์โมน (Sterol hormone) เช่น แคลซิตริออล
4. ลิพิด และ ฟอสโฟลิพิด มี ฮอร์โมน ดังนี้4.1 ลิพิดเช่น กรดไลโนเลนิก (linoleic acid)4.2 ฟอสโฟลิพิด เช่น กรดอาแรคคิโดนิก (arachidonic acid)4.3 อีไอโคซานอยด์ (eicosanoid) เช่น โปรสตาแกลนดิน (prostaglandin)

อะมีน ฮอร์โมน(amine hormone)
ฮอร์โมน อนุพันธ์ของอะมีน:
- อะดรีนาลีน (adrenaline or epinephrine)
- โดพามีน (dopamine)
- มีลาโทนิน (melatonin (N-acetyl-5-methoxytryptamine))
- นอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline or norepinephrine)
- เซอโรโทนิน (serotonin (5-HT)
- ไทโรซีน (thyroxine (T4)
- ไตรไอโอโดไทโรนีน (triiodothyronine (T3)

เพปไทด์ ฮอร์โมน (peptide hormone)
เพปไทด์ ฮอร์โมน:
- แอนตี้มูลเลอเรียน ฮอร์โมน (AMH, mullerian inhibiting factor หรือ ฮอร์โมน)
- อะดิโปเนกติน (adiponectin และ Acrp30)
- อะดริโนคอร์ติโคโทปิก ฮอร์โมน (adrenocorticotropic hormone-ACTH, corticotropin)
- แองกิโอเทนซิโนเจน และ แองกิโอเทนซิน
- แอนตี้ไดยูรีติก ฮอร์โมน (ADH, vasopressin, arginine vasopressin, AVP)
- เอเทรียล-เนตริยูรีติก เพปไทด์ (ANP, atriopeptin)
- แคลซิโทนิน (calcitonin)
- คอลีซีสโตคินิน (cholecystokinin-CCK)
- คอร์ติโคโทรปิน-รีลีสซิ่ง ฮอร์โมน (CRH)
- อัริโทรพอยอีติน (EPO)
- ฟอลลิเคิล สติมูเลติง ฮอร์โมน (FSH)
- แกสตริน (gastrin)
- กลูคากอน (glucagon)
- โกนาโดโทรปิน-รีลีสซิ่ง ฮอร์โมน (GnRH)
- โกรวท์ ฮอร์โมน-รีลีสซิ่ง ฮอร์โมน (GHRH)
- ฮูแมน คอริโอนิก โกนาโดโทรปิน (hCG)
- โกรวท์ ฮอร์โมน (GH or hGH)
- อินสุลิน (insulin)
- อินสุลิน-ไลค์ โกรวท์ แฟคเตอร์ (IGF, also somatomedin)
- เลปติน (leptin)
- ลูทีอิไนซิ่ง ฮอร์โมน (LH)
- มีลาโนไซต์ สติมูเลติง ฮอร์โมน (MSH or α-MSH)
- นิวโรเพปไทด์ วาย (neuropeptide Y)
- ออกซิโตซิน (oxytocin)
- พาราไทรอยด์ ฮอร์โมน (PTH)
- โปรแลกติน (PRL)
- เรนิน (renin)
- เซครีติน (secretin)
- โซมาโตสแตติน (somatostatin)
- ทรอมโบพอยอีติน (thrombopoietin)
- ไทรอยด์-สติมูเลติง ฮอร์โมน (TSH)
- ไทโรโทรปิน-รีลีสซิ่ง ฮอร์โมน (TRH)

สเตอรอยด์ และ สเตอรอล ฮอร์โมน (steroid hormone)
สเตอรอยด์ ฮอร์โมน:
- กลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoid)
- มิเนอรัลโลคอร์ติคอยด์ (Mineralocorticoid)
- อัลโดสเตอโรน (aldosterone)
- เซ็กซ์ สเตอรอยด์ (Sex steroid)
- แอนโดรเจน (Androgen)
- เทสโตสเตอโรน (testosterone)
- ดีไฮโดรอิพิแอนโดรสเตอโรน (dehydroepiandrosterone-DHEA)
- ดีไฮโดรอิพิแอนโดรสเตอโรนซัลเฟต (dehydroepiandrosterone sulfate-DHEAS)
- แอนโดรสตินิไดโอน (androstenedione)
- ไดไฮโดรเทสโตสเตอโรน (dihydrotestosterone-DHT)
- เอสโตรเจน (Estrogen)
- โปรเจสตาเจน (Progestagen)
- โปรเจสเตอโรน (progesterone)
- โปรเจสติน (Progestins)
สเตอรอล ฮอร์โมน:

ลิพิด ฮอร์โมน (lipid hormone)
ลิพิด และ ฟอสโฟลิพิด ฮอร์โมน (อีไอโคซานอยด์) :
- โปรสตาแกลนดิน (prostaglandin)
- ลิวโคไตรอีน (leukotriene)
- โปรสไซคลิน (prostacyclin)
- ทรอมโบเซน (thromboxane)
ต่อมฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย
ต่อมไพเนียล
ต่อมไพเนียล (pineal gland) ของสัตว์เลือดเย็น เช่น ปลาปากกลมสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดไม่สร้างฮอร์โมน แต่เป็นกลุ่มของ เซลล์รับแสง( photoreceptor ) ที่มีลักษณะคล้ายเซลล์รับแสงในชั้นเรตินาของนัยน์ตา
อย่างไรก็ตามต่อมชนิดนี้ในสัตว์เลือดอุ่นจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมีวิวัฒนาการมาเป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนได้ จากการศึกษาพบว่า การทำงานของต่อมนี้มีความสัมพันธ์อย่าใกล้ชิดกับแสงสว่างและภาพมาก ทั้งนี้เพราะมีเส้นประสาทซิมพาเทติกมาติดต่อกับต่อมชนิดนี้เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการสร้างฮอร์โมนจากต่อมไพเนียน เมื่อศึกษาสัตว์ที่ตาบอด หรือนำมาขังในที่มืดจะพบว่าต่อมไพเนียลสร้างฮอร์โมนออกมามาก ในทางตรงกันข้ามถ้าจับสัตว์มาอยู่ในที่สว่างตลอดเวลา จะมีผลให้ต่อมนี้สร้างฮอร์โมนได้น้อยลง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าแสงสว่างมีบทบาทต่อการทำงานของต่อมไพเนียลของสัตว์
ต่อมไพเนียลของคน อยู่ระหว่างเซรีบรัมซีกซ้ายและซีกขวาทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน เมลาโทนิน ( melatonin ) มีหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธ์ไม่ให้เติบโตเร็วเกินไป ดังนั้นถ้าต่อมนี้ผิดปกติ สร้างฮอร์โมนมากเกินไปจะทำให้หนุ่มสาวช้ากว่าปกติ จากการศึกษาพบว่าเด็กผู้ชายที่มีเนื้องอกที่สมองและมีการทำลายของต่อมไพเนียลเด็กคนนี้จะเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าปกติ
ต่อมใต้สมอง
ต่อมใต้สมอง ( pituitary gland ) เป็นต่อมที่อยู่ติดต่อกับส่วนล่างของสมองส่วนไฮโพทาลามัส แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ
– ต่อมใต้สมองส่วนหน้า( anterior lobe of pituitary gland )
– ต่อมใต้สมองส่วนกลาง ( intermediated lobe of pituitary )
– ต่อมใต้สมองจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง( posterior lobe of pituitary gland )
เนื่องจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าและส่วนกลาง มีต้นกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อชนิดเดียวกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นหน่วยเดียวกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต่อมไร้ท่อแท้จริง ขณะที่ต่อมใต้สมองเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อประสาทที่ไม่ได้สร้างฮอร์โมนได้เอง แต่มีปลายแอกซอนของนิวโรซีครีทอรีเซลล์ ( neurosecretory cell ) จากไฮโพรทาลามัสมาสิ้นสุดและหลั่งฮอร์โมนประสาทออกมาสู่กระแสเลือด
ต่อมใต้สมองมีขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร น่าอัศจรรย์ที่ต่อมเล็กพียงนี้ แต่มีหน้าที่ต่อร่างกายอย่างมากมาย

ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ( anterior lobe of pituitary gland )
เป็นส่วนที่ไม่ได้เกิดจากเนื้อเยื่อประสาท การทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของ hypothalamus สร้างฮอร์โมนประเภทสารโปรตีนหรือพอลิเพปไทด์ ได้แก่
1. Growth hormone(GH) หรือ Somatotrophic hormone(STH)
มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตทั่วๆไปของร่างกาย ฮอร์โมนนี้หลั่งตอนหลับมากกว่าตอนตื่นและตอนหิวมากกว่าช่วงปกติ เป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วย polypeptide ที่มีกรดอมิโน 191 ตัว มีธาตุกำมะถันอยู่ในรูป disulphid กระตุ้นให้เกิดการเจริญของกล้ามเนื้อและกระดูกโดยอาศัย thyroxin และ inrulin เป็นตัวคะตะลิสต์ มีอิทธิพลกระตุ้นการเจริญและเพิ่มความยาวของกระดูกกระตุ้นการเจริญของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆของร่างกาย ความผิดปกติเมื่อร่างกายขาดหรือมีมากเกินไป
– ถ้าร่างกายขาด GH ในเด็ก ทำให้ร่างกายเตี้ยแคระ (สติปัญญาปกติ) เรียก Dawrfism ในผู้ใหญ่ มีอาการผอมแห้ง น้ำตาลในเลือดต่ำ มีภาวะทนต่อความเครียด(stess) สูงเรียกว่า Simmom’s disease
– ถ้าร่างกายมี GH มากเกินไป ในวัยเด็ก จะทำให้ร่างกายเติบโตสูงใหญ่ผิดปกติ น้ำตาลในเลือดสูง ทนต่อความเครียดได้น้อย เรียกว่า Gigantism ในผู้ใหญ่ กระดูกขากรรไกร คางจะยาวผิดปกติ ฝ่ามือ ฝ่าเท้าโต จมูกใหญ่ ฟันใหญ่ และห่างเรียก Acromegaly
2. Gonadotrophin หรือ Gonadotrophic hormone
ประกอบด้วยฮอร์โมนที่สำคัญ 2 ชนิด คือ
2.1 Follicle stimulating hormone (FSH)
ทำหน้าที่กระตุ้นฟอลลิเคิลให้สร้างไข่และไข่สุก มีการสร้างฮอร์โมน estrogen ออกมา และเพศชาย กระตุ้น seminiferrous tubule กระตุ้นการเจริญเติบโตของอัณฒะ และหลอดสร้างอสุจิให้สร้างอสุจิ
2.2 Luteinizing hormone (LH)
จะกระตุ้นการตกไข่และเกิดคอร์ปัสลูเทียม คอร์ปัสลูเทียมจะสร้าง ฮอร์โมน โพรเจสเทอโรน (progesterone) ทำหน้าที่รวมกับอีสโทรเจน ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่รังไข่และมดลูกเพื่อรอรับการฝังตัวของเซลล์ที่ถูกผสม
สำหรับในเพศชาย กระตุ้นให้ interstitial cells ในอัณฑะสร้างฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งอาจเรียกว่า Interstitial Cell Stimulating Hormone (ICSH) หรือ เซลล์เลย์ดิก (Leading cell) ที่สร้างอยู่ระหว่างหลอดสร้างอสุจิในอัณฒะให้หลั่งฮอร์โมนเพศชาย คือ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)
3. Prolactin หรือ Lactogenic hormone (LTH)
ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญของต่อมน้ำนมในเพศหญิง นอกจากนี้ทำหน้าที่ร่วมกับ androgen ในเพศชายกระตุ้นต่อมลูกหมาก การบีบตัวของท่อนำอสุจิ การสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ
4. Andrenocorticotrophin หรือ Adrenocorticotrophic hormone (ACTH)
มีหน้าที่กระตุ้นทั้งการเจริญเติบโตและการสร้างฮอร์โมนของต่อมหมวกไตส่วนนอกให้สร้างฮอร์โมนของต่อมหมวกไตส่วนนอก ให้สร้างฮอร์โมนตามปกติและกระตุ้น การหลั่ง insulin การหลั่ง GH ควบคุมการทำงานของต่อมเหนือไตชั้นนอก ( adrenal cortex ) ทำให้สีของสัตว์เลือดเย็นเข้มขึ้น มีโครงสร้างเหมือน MSH
5. Thyroid Stimulation hormone (TSH)
ทำหน้าที่กระตุ้นให้มีการเพิ่มการนำไอโอดีนเข้าต่อมไทรอยด์ เพื่อเพิ่มการสังเคราะห์ thyroxine hormone
การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนที่สร้างจากสมองส่วน hypothalamus มีฮอร์โมนที่กระตุ้นและยับยั้งการผลิตฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนหน้าและมีชื่อเรียกตามผลที่แสดงออกต่อการสร้างฮอร์โมน เช่น
– ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง GH ( GH releasing hormone, GRH) กระการหลั่งฮอร์โมน growth
– ฮอร์โมนยับยั้งการหลั่ง GH (GH inhibiting hormone,GIH) ยับยั้งไม่ให้มีการหลั่งฮอร์โมน growth
– ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง prolactic (Prolactin releasing hormone,PRH) กระตุ้นให้ Prolactin หลั่งออกมา
– ฮอร์โมนควบคุมการหลั่ง thyroid (Thyroid releasing hormone,TRH) กระตุ้นการหลั่ง TSH
– ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง Gn (Gonadotrophin releasing hormone,GnRH) กระตุ้นให้มีการหลั่ง LH และ FSH
ฮอร์โมนเหล่านี้รวมเรียกว่า ฮอร์โมนประสาท เพราะสร้างมาจากเซลล์พิเศษ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ประสาทภายใน hyprothalamus

บางคนอาจมีฮอร์โมนสูงภายหลังที่โตเต็มวัยแล้ว ร่างกายจะไม่สูงใหญ่กว่าปกติมากนัก แต่ส่วนที่เป็นกระดูกตามแขน ขา คาง กระดูกขากรรไกร และกระดูกแก้มยังตอบสนองต่อฮอร์โมนนี้อยู่ทำให้เกิดความผิดปกติของกระดูกตามบริเวณใบหน้า นิ้วมือ นิ้วเท้า เรียกอาการดังกล่าวนี้ว่า อะโครเมากาลี (acromegaly)
ผู้ใหญ่ที่ขาดฮอร์โมน GH แม้ไม่มีอาการที่ปรากฏอย่างเด่นชัด แต่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถทนต่อความเครียดต่างๆ ทางอารมณ์ได้ ถ้าเครียดมากๆอาจทำให้สมองได้รับอันตรายได้ง่าย เพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามอาจเป็นอันตรายมากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดชนิดอื่นด้วย
โกนาโดโทรฟิน (Gonadotrophin) เรียกย่อว่า Gn ประกอบด้วย ฟอลลอเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน (folic stimulating hormone) เรียกย่อว่า FSH และลูทิไนซิงฮอร์โมน (luteinzing hormone) เรียกย่อว่า LH
โพรแลกทิน (Prelactin)
กระตุ้นให้ต่อมน้ำนมเพื่อสร้างน้ำนมเลี้ยงลูกอ่อนหลังคลอด
อะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิน (Adrnocorticotrophin หรือ adrenocotictrophic) เรียกว่า ACTH
ทำหน้าที่กระตุ้นต่อมหมวกไตส่วนนอกให้หลั่งฮอร์โมนปกติ
ไทรอยด์สติมิวเลติงฮอร์โมน (Thyroid stimulation hormone) เรียกย่อว่า TSH
หน้าที่หลัก คือ กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนเป็นปกติ
เอนดอร์ฟิน (endorphin)
เป็นสารที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนพบว่ามีแหล่งสร้างจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า และอาจสร้างจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆอีกด้วย เป็นสารที่ทำหน้าที่ระงับความเจ็บปวดและเชื่อกันว่าเอนดอร์ฟินยังเป็นสารที่ทำให้เรามีความคิดในทางสร้างสรรค์ ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและความมีชีวิตชีวาและความสุข ซึ่งสารนี้จะหลั่งเมื่อเราออกกำลังกายหรือเมื่อเราอารมณ์แจ่มใส จึงเรียกสารที่หลั่งมานี้ว่า สารแห่งความสุข

ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนกลาง (Intermediate lobe)
มีขนาดเล็กมากทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน Melanocyte Stimulating Hormone(MSH) ทำหน้าที่ปรับสีของสัตว์เลือดเย็นให้เข้มขึ้น(ทำหน้าที่ตรงข้ามกับ Malatonin จากต่อม pineal ) ในสัตว์เลือดอุ่นมีหน้าที่ไม่แน่ชัด

ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior lobe)
เป็นกลุ่มเซลล์ของเนื้อเยื่อประสาทจาก hypothalamus ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนภายนอก แล้วลำเลียงมาไว้ที่ต่อมใต้สมองส่วนหลัง ได้แก่

ต่อมใต้สมองส่วนหลังเป็นส่วนที่ปลายแอกซอนของนิวโรซีครีทอรีเซลล์จากสมองส่วนไฮโพรทาลามัส มาสิ้นสุดเป็นจำนานมาก เซลล์เหล่านี้จะสร้างฮอร์โมนประสาทมาปล่อยที่ต่อมใต้สมองส่วนหลัง ก่อนหลั่งสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายทางกระแสเลือด ฮอร์โมนประสาทดังกล่าวได้แก่
วาโซเพรสซิน (Vasopressin) หรือ แอนติไดยูเรติกฮอร์โมน (antidiuretic) เรียกย่อว่า ADH
ทำให้เส้นเลือดมีการหดตัวช่วยให้ท่อหน่วยไตดูดน้ำกลับคืน ทำให้ลดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็น ถ้าร่างกายขาดจะปัสสาวะมากทำให้เกิดโรคเบาจืด( diabetes inspidus) และกระตุ้นให้หลอดเลือดแดงหดตัว
ออกซิโทซิน (Oxytocin)
ทำให้กล้ามเนื้อมดลูก เต้านม กระเพาะปัสสาวะมีการหดตัว ฮอร์โมนนี้จะมีการหลั่งออกมาตอนคลอดลูกและในขณะร่วมเพศ แต่ถ้าหลั่งออกมามากก่อนคลอดจะทำให้แท้งลูกได้ จึงเป็นฮอร์โมนที่แพทย์ฉีดเพื่อช่วยในการคลอดของมารดาที่มีฮอร์โมนชนิดนี้น้อยกว่าปกติ นอกจากนี้ฮอร์โมนยังกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบๆต่อมน้ำนมให้หดตัวเพื่อขับน้ำนมออกมาเลี้ยงลูกอ่อน
ต่อมไทรอยด์
ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) ของคนจัดได้ว่าเป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ติดกับบริเวณกล่องเสียงมีลักษณะเป็น 2 พู และมีส่วนบางๆ ของเนื้อเยื่อของต่อมพาราไทรอยด์ติดต่ออยู่ด้วยข้างละ 2 ต่อม
ปี พ.ศ. 2426 ศัลยแพทย์ชาวสวิส ชื่อ อี คอกเคอร์ (E.Kocher) พิมพ์ผลงานที่ได้จากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ของคนไข้จำนวนหนึ่งออก หลังผ่าตัดคนไข้มีอาการผิดปกติคืออ่อนเพลีย ไม่มีแรงเริ่มบวมที่หน้า มือและเท้า ในที่สุดก็บวมทั้งตัว ผิวหนังของคนไข้แห้ง และแข็งเป็นสะเก็ด สมองเสื่อม จากนั้นจึงมีผู้สนใจศึกษาผลของการตัดต่อมไทรอยด์ พบว่าถ้าตัดต่อมไทรอยด์ของสัตว์ทดลองในวัยที่ยังไม่เจริญเต็มที่จะทำให้ลักษณะของสัตว์เตี้ยแคระ ต่อมไทรอยด์ เกี่ยวข้องกับการเจริญของสัตว์อย่างไร
ปี พ.ศ. 2438 นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ แมกนัส เลวี (Magnus Levy) นำต่อมไทรอยด์ของแกะมาทำให้แห้งแล้วบดละเอียด ให้คนปกติกินปรากฏว่าทำให้อัตราเมแทบอลิซึมของร่างกายสูงขึ้น และในปลายศตวรรษนั้น แพทย์ก็ได้สามารถรักษาคนไข้ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ได้สำเร็จ โดยให้คนไข้กินต่อมไทรอยด์ของแกะที่บดละเอียด
ปี พ.ศ. 2439 โบมานน์ (C.Z. Boumann) วิเคราะห์เนื้อเยื่อต่างๆของคน พบว่า เซลล์ในต่อมไทรอยด์มีไอโอดีนสูงกว่าเซลล์ในส่วนอื่นถึง 100 เท่า และยังพบว่าคนที่อยู่ใกล้ทะเลมีไอโอดีนในต่อมไทรอยด์เข้มข้นกว่าคนอื่นที่อยู่ห่างไกลทะเล
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2448 เดวิด มารีน (David Marine) พบว่าคนที่อยู่ริมทะเลเป็น โรคคอพอก (simple goiter) น้อยกว่าคนที่อยู่ห่างทะเล มารีนได้ทำการทดลองให้อาหารที่ไม่มีไอโอดีนแก่สัตว์ ปรากฏว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นโรคคอพอก และเมื่อให้อาหารที่มีไอโอดีนบ้างเล็กน้อย สัตว์เหล่านั้นก็หายจากโรคคอพอก มารีนจึงเสนอให้มีการเติมไอโอดีนลงไนน้ำดื่มเพื่อป้องกันการขาดไอโอดีน
ต้นศตวรรษที่ 20 มีผู้สกัดสารเคมีจากต่อมไทรอยด์และเรียกสาสกัดได้นี้ว่า ไทรอกซิน (Thyroxin) ซึ่งมีไอโอดีนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยและพบว่าแหล่งที่สร้างฮอร์โมนไทรอกซินในต่อมไทรอยด์คือเซลล์จำนวนมาก แต่ละกลุ่มเซลล์ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความหนาเพียงชั้นเดียว และมีช่องตรงกลาง เรียกกุ่มเซลล์นี้ว่า ไทรอยด์ฟอลลิเคิล (thyroid follicle) ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนไทรอกซินแล้วปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด
หน้าที่สำคัญของไทรอกซินคน คือ ทำหน้าที่ควบคุมอัตราเมแทบอริซึมของร่างกาย
วงการแพทย์ตรวจพบว่า ต่อมไทรอยด์ของบางคนสร้างไทรอกซินได้น้อยกว่าคนปกติทั้งๆที่ร่างกายมีไอโอดีนอยู่มากและพบว่าอาการที่ร่างกายผลิตไทรอกซินได้น้อย จะแสดงออกในผู้ป่วยที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่แตกต่างกัน คือ ถ้าขาดฮอร์โมนนี้ในวัยเด็กจะมีผลให้พัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองด้อยลง
ทำให้ร่างกายเตี้ยแคระ แขน ขาสั้น ผิวหยาบแห้ง ผมบาง การเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ และปัญญาอ่อน กลุ่มอาการเช่นนี้เรียกว่า เครทินิซึม (Cretinism)
สำหรับวันผู้ใหญ่ การขาดฮอร์โมนไทรอกซินจะทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย น้ำหนักเพิ่ม ทนความหนาวไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรงผมและผิวหนังแห้ง หัวใจโต ซึมเฉื่อยชา และความจำเสื่อม กลุ่มอาการเช่นนี้เรียกว่า มิกซีดีมา (Myxedema)
สำหรับคอพอกที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน เนื่องมาจากต่อมไทรอยด์ไม่สามารถสร้างไทรอกซินได้ จะมีอาการเหมือนมิกซีดีมาแต่มีคอโตด้วย
เนื่องจากเมื่อต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่ง TSH มากระตุ้นต่อมไทรอยด์มากเกินไป โดยที่ต่อมนี้ไม่สามารถสร้างไทรอกซินออกไปยับยั้งการหลั่ง TSH จากต่อมใต้สมองได้ จะทำให้ต่อมไทรอยด์ขยายขนาดผิดปกติ
คอพอกอีกชนิดหนึ่งคือ โรคคอพอกเป็นพิษ (Toxic toiter) เนื่องจากต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้นให้สร้างฮอร์โมนมากเกินไป ผู้ที่เป็นโรคนี้คอหอยไม่โตมากนัก บางคนอาจมีอาการตาโปนด้วยดังภาพสาเหตุเนื่องจากเกิดผิดปกติบางอย่างในรางกายเป็นเหตุให้ต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้นให้ทำงานหนักตลอดเวลา ต่อมจึงขยายโตขึ้น การสร้างฮอร์โมนไทรอกซินออกมามากกว่าปกติมีอาการตรงข้ามกับมิกซีดีมา อาจรักษาได้โดยให้คนไข้กินยาที่ยับยั้งการสร้างฮอร์โมน หรือการผ่าตัดเอาบางส่วนของต่อมออกหรือให้กินสารไอโอดีนซึ่งเป็นกัมมันตภาพรังสี เพื่อทำลายเนื้อบางส่วนของต่อม
นอกจากนี้ไทรอกซินยังสามารถกระตุ้นเมทามอร์โฟซิสของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก โดยมีผู้ศึกษาผลของฮอร์โมนไทรอกซินกับการเกิดเมทามอร์โฟซิสของลูกออด
แคลซิโทนิน (calcitonine)
เป็นฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่สร้างจากต่อมไทรอยด์ แต่สร้างจากกลุ่มเซลล์ที่มีต้นกำเนิดต่างจากไทรอยด์ฟอลลิเคิล เรียกเซลล์เหล่านี้ว่า เซลล์ซี (C-cell) หรือ เซลล์พาราฟอลลิคิวลาร์ (parafollicular cell) หน้าที่ของแคลซิโทนิน คือ กระตุ้นการสะสมแคลเซียมที่กระดูก ลดการดูดกลับของแคลเซียม ที่ไตและลดอัตราการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้เล็ก ฮอร์โมนนี้ทำงานร่วมกับฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์และวิตามินดี
ต่อมพาราไทรอยด์
ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid gland) มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว มีอยู่ด้วยกัน 4 ต่อม ฝังอยู่ด้านหลังของต่อมไทรอยด์ข้างละ 2 ต่อม ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมนี้คือ parathormone ฮอร์โมนที่สร้าง ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid gland) คือ พาราทอร์โมน (parathormone) หรือพาราไทรอยด์ฮอร์โมน (parathyroid hormone) เรียกย่อว่า PTH ต่อมนี้มีความสำคัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้น เนื่องจากถ้าตัดต่อมพาราไทรอยด์ของ กบ คางคก และสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เหล่านี้ยังรอดชีวิตอยู่ได้ ฮอร์โมนจากต่อมนี้มีหน้าที่สำคัญคือ ควบคุมสมดุลของแคลเซียมในเลือดให้คงที่ โดยมีผลสำคัญต่ออวัยวะ 3แห่ง คือ
-ผลต่อทางเดินอาหารช่วยเร่งอัตราดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ลำไส้เล็ก
-ผลต่อกระดูกช่วยเร่งอัตราการสลายแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่กระดูก
-ผลต่อไตช่วยเพิ่มการดูดกลับแคลเซียม แต่กระตุ้นการขับฟอสฟอรัสออกทางปัสสาวะ การทำงานของ PTH จะมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินดี
ถ้าต่อนี้สร้างพาราทอร์โมนได้น้อยกว่าปกติ ทำให้การดูดกลับของแคลเซียมที่ท่อหน่วยไตและการสลายแคลเซียมจากกระดูกน้อยลง ระดับแคลเซียมต่ำแต่จะมีฟอสฟอรัสมากขึ้นทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็งและชักกระตุก ปอดไม่ทำงาน การบีบตัวของหัวใจน้อยลงอาจทำให้ตายได้ อาการดังกล่าวสามารถรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนชนิดนี้ และให้วิตามินดีเข้าไปด้วย (หรือแก้โดยลดอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงๆ และเพิ่มแคลเซียมหรือฉีดวิตามิน D)
ถ้าต่อมนี้สร้างฮอร์โมนมากเกินไปจะมีการสลายแคลเซียมจากฟันและกระดูกมายังกระแสเลือด ทำให้แคลเซียมในเลือดสูง กระดูกบาง ฟันหักและผุง่าย
ฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์
Parathormone เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดและเนื้อเยื่อให้ปกติ ช่วยให้ไตและลำไส้เล็กดูดแคลเซียมกลับคืนได้มากขึ้น โดยทำงานร่วมกับวิตามิน ซี และ ดี ทำหน้าที่ควบคุมแคลเซียม กับ Calcitonin

ตับอ่อน
ตับอ่อน (pancreas) ป็นอวัยวะที่สร้างเอนไซม์หลายชนิดส่งไปย่อยอาหารที่ลำไส้เล็กเพราะตับอ่อนประกอบด้วยต่อมสร้างเอนไซม์ ซึ่งเป็นต่อมมีท่อจึงสามารถลำเลียงเอนไซม์ดังกล่าวมายังลำไส้เล็กได้
ฮอร์โมนจากไอส์เลตออฟแลเกอร์ฮานส์
Paul langerhan(1868) แห่งมหาวิทยาลัยไพรเบิร์กในเยอรมัน ได้ศึกษาตับอ่อนและพบกลุ่มเซลล์ตับอ่อนกระจายอยู่เป็นย่อมๆมีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก แ ละเรียกกลุ่มเซลล์เหล่านี้ตามชื่อของผู้คนพบว่า islets of Langerhans ฮอร์โมนที่สำคัญมี 2 ชนิดคือ
1. Insulin
สร้างมาจากกลุ่ม cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก หน้าที่ของ insulin คือรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ ถ้ามีน้ำตาลในเลือดสูง insulin จะช่วยเร่งการนำกลูโคสเข้าเซลล์และเร่งการสร้าง glycogen เพื่อเก็บสะสมไว้ที่นับและกล้ามเนื้อ และเร่งการใช้กลูโคสของเซลล์ทั่วไป ทำให้น้ำตาลในเลือดน้อยลง ในคนปกติจะมีน้ำตาลในเลือด 100 mg ต่อเลือด 100 Cm3 กรณีคนที่ขาด insulin ทำให้เป็นโรคเบาหวาน ( diabetes mellitus ) คือ มีน้ำตาลในเลือดสูงมากและหลอดไตดูดกลับไม่หมด จึงมีส่วนหนึ่งออกมากับปัสสาวะ เมื่อเป็นมากๆ ร่างกายจะผอม น้ำหนักตัวลดลงมากเนื่องจากมีการสลายไขมันและโปรตีน มาใช้แทนคาร์โบไฮเดรตซึ่งร่างกายใช้ไม่ได้ ผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้ง และมีน้ำตาลออกมาด้วย ปัสสาวะมีความเป็นกรดมาก เนื่องจากมีคีโตนบอดี (Ketone Body) ซึ่งเป็นผลจากการสลายไขมัน นอกจากนี้ถ้าหากเป็นแผลจะหายยากมากเพราะในเลือดมีน้ำตาลสูง จุลินทรีย์ต่างๆจึงใช้เป็นอาหารได้เป็นอย่างดี เมื่อเป็นนานเข้าผู้ป่วยจะตาย เนื่องจากไตหมดประสิทธิภาพในการทำงาน
2. Glucagon
สร้างมาจาก cell เป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้อยกว่า cell glucagon มีหน้าที่เพิ่มน้ำตาลในเลือดโดยเร่งสลายไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคส ( ทำหน้าที่ตรงข้ามกับ insulin ) และเร่งการสร้างกลูโคสจากโปรตีนด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือดจะเป็นสัญญาณให้ฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ทำงานเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเสม
จะเห็นว่าขณะที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น ว่ายน้ำ วิ่งแข่ง เซลล์จะต้องใช้พลังงานมาก นั่นหมายถึง ต้องใช้กลูโคสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญเป็นจำนวนมากด้วย แต่ระดับน้ำตาลไม่ต่างจากระดับปกติมากนัก ดังกราฟเส้นแดงข้างบน (ข) ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ว่าขณะที่ร่างกายต้องใช้พลังงานมาก ไกลโคเจนที่เก็บไว้ใต้ตับและกล้ามเนื้อถูกสลายเป็นกลูโคสส่งเข้าในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ

แต่เมื่อศึกษาปริมาณน้ำตาลในคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และหลังรับประทานอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต ผู้ป่วยจะมีช่วงเวลาที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนานกว่าคนไข้ปกติด้วย
สิ่งที่หน้าสนใจคือ ร่างกายมีกลไกอะไรที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้
โรคเบาหวานเป็นที่รู้จักกันมานาน แต่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโครงสร้างบางส่วนขอตับอ่อน
ปี พ.ศ. 2411 พอล แลงเกอร์ฮานส์ (Paul Langerhans) แห่งมหาวิทยาลัยไฟร์เบิร์ก ประเทศเยอรมันนี สังเกตเห็นกลุ่มเซลล์ที่ตกต่างจากเนื้อเยื่อส่วนใหญ่ของตับอ่อน กลุ่มเซลล์นี้จะกระจายอยู่เป็นหย่อมๆมีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยง ต่อมานี้เรียกกลุ่มเซลล์นี้เพื่อเกียรติแก่ผู้ค้นพบว่า ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ (Islets of Langerhans)
ปี พ.ศ. 2432 โยฮันน์ วอน เมอริง (Johann Von Mering) และออสการ์ มินคอฟสกิ (Oscar Minkovski) แสดงให้เห็นว่าการตัดตับอ่อนของสุนัขมีผลต่อการย่อยอาหารประเภทไขมัน ผลการทดลองที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ มีมดขึ้นปัสสวะของสุนัขที่ถูกตัดตับอ่อนซึ่งแตกต่างจากสุนัขปกติ ต่อมาอีก 2 สัปดาห์ สุนัขที่ถูกตัดตับอ่อนตาย
ปี พ.ศ. 2455 มีผู้ทดลองที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มเซลล์ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ผลิตสารบางอย่างมาทางกระแสเลือด และให้ชื่อว่า อินซูลิน (Insulin)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2463 ศัลยแพทย์ชาวแคนาดา ชื่อ แบนติง ( F.G. Banting) และนิสิตแพทย์ชื่อ เบสต์ (C.H. Best) แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโตได้พบหลังฐานบางประการที่ทำให้ทราบว่า ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ ผลิตสารควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แบนติงและเบสต์ จึงทำการทดลองโดยมัดท่อตับอ่อนของสุนัขผลปรากฏว่าตับอ่อนไม่สามารถเอนไซม์ได้อีกต่อไป แต่ไอส์เลตออฟแลนเกอร์ฮานส์ออกมา
แบนติงและเบสจึงสามารถสกัดอินซูรินออกมาได้ เมื่อนำสารนี้ไอฉีดให้กับสุนัขที่เป็นโรคเบาหวาน ภายหลังจากการถูกตัดตับอ่อนออกแล้ว ปรากฏว่าสุนัขสามารถมีชีวิตเป็นปกติ และสามารถลดระดับน้ำตาลลงได้
จากผลการทดลองนี้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางช่วยชีวิตคนที่เป็นเบาหวานไว้ได้จำนวนมาก จากผลงานนี้เองทำให้แบนติงได้รับรางวัลโนเบล ในปี พ.ศ.2466
หลังจากนั้นมีการศึกษาพบว่าไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์สร้างฮอร์โมนที่สำคัญ 2 ชนิดคือ อินซูริน และ กลูคากอน (Glucagons)
อินซูลิน
เป็นฮอร์โมนสร้างจากกลุ่ม เบตาเซลล์ ( - cell ) ที่บริเวณส่วนกลางของไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ หน้าที่สำคัญ คือ ลดระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูง อินซูรลินจะหลั่งออกมามากเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ตับและเซลล์กล้ามเนื้อนำกลูโคสเข้าไปในเซลล์มากขึ้น และเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกลโคเจนเพื่อเก็บสะสมไว้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงสู่ระดับปกติ ถ้ากลุ่มเซลล์ที่สร้างอินซูลินถูกทำลาย ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติทำให้เป็นโรคเบาหวาน
กลูคากอน
เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก แอลฟาเซลล์ ( - cell) ซึ่งเป็นเซลล์อีกประเภทหนึ่งของไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ กลูคากอนทำหน้าที่ตรงข้ามกับอินซูลิน คือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ กลูคากอนจะไปกระตุ้นการสลายตัวของไกลโคเจนจากตับและกล้ามเนื้อเป็นน้ำตาลกลูโคสแล้วปล่อยออกมาทำให้เลือดมีระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้น

การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลจะเป็นสัญญาณยับยั้ง และกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและกลูคากอนจากไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์และผลจากการทำงานของฮอร์โมนทั้งสองจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในสภาวะปกติเสมอ
ความผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนของไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ที่พบบ่อยมากคือ การเป็นโรคเบาหวาน อาการของคนที่เป็นโรคนี้ทั่วไปคือ
- ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อยมากและบ่อยครั้งทำให้กระหายน้ำมากผิดปกติ
- น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
- อ่อนเพลีย
- เซื่องซึม
- เมื้อยล้า
- มีอาการคับบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และผิวหนัง
- นัยน์ตาฟาง มองภาพไม่ชัด
- ผิวหนังผุผอง
- เป็นตุ่มฝีและติดเชื้อง่าย
อาการที่เกิดจากโรคเบาหวานดังกล่าวเกิดจากเซลล์ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งประสิทธิภาพของตับในการเก็บกลูโคสไว้ในรูปไกลโคเจนลดลง ทำให้หลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงมากและอยู่นานจนร่างกายต้องกำจัดน้ำตาลส่วนเกินเหล่านี้ออกทางปัสสาวะ เมื่อร่างกายนำคาร์โบไฮเดรตจากอาหารมาใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่จึงต้องใช้โปรตีนและไขมันในร่างกายสลายเป็นพลังงาน แต่การสลายโมเลกุลของสารทั้งสองมีผลล้างเคียงคือ ทำให้ความเป็นกรดขอเลือดสูง กลไกการหายใจจึงผิดปกติแลมักส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความผิดปกติขั้นรุนแรงจนถึงเสียชีวิต

โรคเบาหวานอาจแบ่งได้ 2 แบบ
แบบแรกเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ในการรักษาผู้ป่วยจึงต้องรับการฉีดอินซูลินทุกวัน เพื่อควบคุมปริมาณน้ำตาล และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนสภาพช็อกเพราะขาดน้ำตาล
โรคเบาหวานแบบที่ 2 เป็นแบบที่พบมากถึงร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และพบได้ในบุคลทุกเพศทุกวัยโดยสาเหตุมาจากตับอ่อนของผู้ป่วย
สร้างอินซูลินได้ตามปกติ แต่ตัวรับอินซูลินผิดปกติ อินซูลินจึงทำงานได้ ปริมาณน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยจึงสูงและแสดงอาการของโรคเบาหวนออกมา นอกจากนี้ผู้ป่วยมักมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่
-ตาพร่ามัว
-ระบบหมุนเวียนเลือดผิดปกติ
-ระบบการทำงานของไตบกพร่อง

ต่อมหมวกไต
ต่อมหมวกไต (Adrenal gland)
ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหนือไตทั้งสองข้าง ต่อมนี้ประกอบด้วยเนื้อเยื้อชั้นนอก เรียกว่า ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex) และเนื้อเยื้อชั้นในเรียกว่า ต่อมหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla)
ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอก
เนื้อเยื้อของต่อมหมวกไตส่วนนอกสร้างฮอร์โมนมากกว่า 50 ชนิด
ฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) ทำหน้าที่หลักในการควบคุมเมแทบอริซึมของคาร์โบไฮเดรต ตัวอย่างของฮอร์โมนกลุ่มนี้ คือ คอร์ติซอล (cortisol) มีหน้าที่สำคัญในการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด โดยกระตุ้นเซลล์ตับให้เปลี่ยนอะมิโนและกรดไขมันเป็นคาร์โบไฮเดรตและเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจนทำให้ตับมีไกลโคเจนสะสมสำหรับเปลี่ยนเป็นกลูโคสส่งเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ยังมีหน้า ควบคุมสมดุลของแร่ธาตุได้เล็กน้อยอีกด้วย
การมีฮอร์โมนกลูคอร์ติคอยด์มากเกินไป ทำให้โรค คูชชิง (Cushing’s syndrome) คนไข้จะมีความผิดปกติเกี่ยวกับเมแทบอริซึมของคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ระดับน้ำตาในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากมีสารละลายโปรตีนและไขมันบริเวณแขนและขา ขณะที่มีการสะสมไขมันที่บริเวณแกนกลางของลำตัว เช่น ใบหน้า ทำให้หน้ากลมคล้ายดวงจันทร์ บริเวณต้นคอมีหนอกยื่นออกมา อาการเช่นนี้พบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาคอร์ติโคสเตรอยด์เป็นส่วนผสมเพื่อป้องกันอาการแพ้หรืออักเสบติดต่อกับเป็นระยะเวลานาน

ฮอร์โมนมิเนราโลคอร์ตาคอยด์ (Mineral corticoids)
มีหน้าที่ในการควบคุมของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย ฮอร์โมนที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือ แอลโตสเตอโรน (aldosterone) ซึ่งควบคุมการทำงานของไตในการดูดน้ำและโซเดียมเข้าสู่หลอดเลือด และขับโพแทสเซียมออกจากท่อหน่วยไตให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายอีกด้วย การขาดแอลโดสเตอโรนจะมีผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำและโซเดียมไปพร้อมปัสสาวะจำนวนมาก และส่งผลให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลง จนอาจทำให้ผู้ป่วยตาย เพราะความดันเลือดต่ำ
รู้หรือเปล่า?
ความเครียดมีผลกระตุ้นศูนย์ประสาทในสมองส่วนไฮโพทาลามัส ทำให้หลั่งฮอร์โมนประสาทไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่ง ACYH มากระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอก
ฮอร์โมนเพศ (sex hormone)
ในสภาวะปกติ ฮอร์โมนเพศที่สร้างจากต่อมหมวกไตส่วนนอกมีเพียงเล็กน้อยนั้นเมื่อเทียบกับฮอร์โมนเพศที่สร้างจากอวัยวะเพศ จึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก อย่างไรก็ดีถ้าต่อมนี้สร้างฮอร์โมนเพศมากเกินปกติ ย่อมทำให้เกิดความผิดปกติทางเพศได้ โดยเด็กจะแสดงอาการ
-เป็นหนุ่มสาวเร็วขึ้น
-อวัยวะมีการเจริญเพิ่มขนาดขึ้น
-มีขนขึ้นตามร่างกายมากกว่าปกติ
-เสียงห้าว
-ในเพศหญิงโตเป็นสาว ถ้าฮอร์โมนจากต่อมนี้มากจะทำให้มีหนวดเคราเกิดขึ้น
ถ้าต่อมหมวกไตส่วนนอกถูกทำลายจนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ จะทำให้เป็นโรคแอดดิสัน (Addison’s disease) คนไข้จะซูบผอม ผิวหนังตกกระ ร่างกายมาสามารถรักษาสมดุลของแร่ธาตุ ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้
ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนใน
ต่อมหมวกไตส่วนในสร้างฮอร์โมนได้ 2 ชนิด ได้แก่ เอพิเนฟริน (Epinephrine) หรือ อะดีนาลีน (adrenaline) และ นอร์เอพิเนฟริน(norepinephrine) หรือดอร์อะดีนาลีน (noradrenaline)
เอพิเนฟริน
มีผลทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันสูง ทำให้หลอดเลือดอาร์เตอรีมีขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ขยายตัว ส่วนหลอดเลือดอาร์เตอรีมีขนาดเล็กบริเวณผิวหนังและช่องท้องหดตัว
นอร์เอพิเนฟริน
ฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งออกมาจากปลายเซลล์ประสาทซิมพาเทติกได้ด้วย ผลของฮอร์โมนชนิดนี้คล้ายกับเอพิเนฟรินมาก คือ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น แต่แตกต่างกันที่นอร์เอพิเนฟรินทำให้หลอดเลือดอาร์เตอรีที่ไปเลี้ยงอวัยวะภายในต่างๆบีบตัว
การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนในจะอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทอัตโนวัติ ในภาวะปกติจะหลั่ง ฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้อย่างเหมาะสมกับร่างกาย หลายคนคงเคยเห็นเหตุการณ์พิเศษบางอย่างที่เกิดขึ้น เช่น คนขนของหนีไฟไหม้สามารถยกหรือแบกของหนักๆได้ ทั้งในสภาวะปกติไม่สามารถทำได้ภาวะที่ร่างกายอยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้ ต่อมหมวกไตส่วนในจะถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนเอพิเนฟรินออกมามากกว่าปกติทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เมแทบอลิซึมเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจึงมีพลังงานมากกว่าปกติ
ฮอร์โมนจากอวัยวะสืบพันธุ์
ต่อมเพศ (gonad gland) หมายถึง อวัยวะสืบพันธุ์คืออัณฑะ หรือ รังไข่

1. อัณฑะ (testis)
ภายในอัณฑะมีกลุ่มเซลล์ interstitial cell เป็นแหล่งที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชายฮอร์โมนที่ถูกสร้างเป็นสารสเตียรอยด์ ที่เรียกว่า androgens ประกอบด้วยฮอร์โมนหลายชนิด ที่สำคัญคือ testosterone ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะของเพศชาย เช่น
-เสียงแตก
-นมขึ้นพาน
-มีหนวดบริเวณที่ริมฝีปาก
-กระดูกหัวไหล่กว้าง

2. รังไข่( ovary )
เป็นแหล่งสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ต่อมเพศอยู่ในรังไข่ทั้ง 2 ข้าง มีแหล่งสร้างฮอร์โมน 2 แหล่ง คือ follicle ในรังไข่ และ corpus luteum ฮอร์โมนที่สร้างได้มี 2 ชนิด คือ
2.1 Estrogen
เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก follicle ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะเพศหญิง การมีประจำเดือน เตรียมการตั้งครรภ์ ห้ามการสร้างไข่ โดยห้าม FSH จากต่อมใต้สมองและกระตุ้นให้มีการหลั่ง LH แทน
2.2 Progesterone
สร้างจาก corpus luteum มีหน้าที่ในการกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนา ห้ามการมีประจำเดือน ห้ามการตกไข่ ให้ต่อมน้ำนมเจริญมากขึ้น ป้องกันการแท้งบุตร อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน FSH และ LH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
ระบบฮอร์โมนขณะมีการเปลี่ยนแปลงรอบเดือน ในขณะมีรอบเดือน (memstrucation) Estrogen และ LH ต่ำ progresterone ต่ำมาก ภายหลังการตกไข่ (ovulation ) progesterone จะสูงขึ้นและจะสูงสุดภายหลังตกไข่ผ่านไป 1 สัปดาห์ จากนั้นจะลดลงเรื่อยๆถ้าไข่ไม่ถูกปฏิสนธิ
ฮอร์โมนพวกนี้ควบคุมการทำงานของอวัยวะเพศอย่างไร
อวัยวะเพศ ในระยะก่อนวัยหนุ่มสาวอัณฑะและรังไข่จะสร้างฮอร์โมนเพศน้อย เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของอัณฑะและรังไข่ ทำให้สร้างเซลล์สืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศได้ตามปกติ ในเพศชายจะหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH ในอัตราค่อนข้างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื้ออัณฑะมากมายเหมือนในเนื้อเยื้อรังไข่ ขณะที่เพศหญิงต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH เพิ่มขึ้นสูงมากในระยะก่อนตกไข่
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม เซลล์เลย์ดิกจะได้รับการกระตุ้นโดยฮอร์โมน LH จาดต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้สร้างฮอร์โมนเพศชายซึ่งเรียกว่า แอนโดรเจน (androgens) ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญที่สุด คือ เทสโทสเทอโรน มีหน้าที่ทำให้ผู้ชายมีความสามารถในการสืบพันธุ์ และมีลักษณะการแตกเนื้อหนุ่ม เช่น มีลูกกระเดือกเห็นได้ชัด มีขนตามร่างกาย รักแร้ แขนขา อวัยวะเพศ ไหล่กว้างและสะโพกแคบ กล้ามเนื้อเจริญเติบโตเป็นมัด
รังไข่ นอกจากผลิตเซลล์ไข่แล้วยังผลิตฮอร์โมนเพศได้รังไข่มีแหล่งฮอร์โมนอยู่ 2 แห่งคือ ฟอลลิเคิลและคอร์ปัสลูเทียม
เมื่อรังไข่ได้รับ FSH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะมีการสร้างเซลล์ฟอลลิเคิลล้อมรบไอโอไซต์หลายชั้น ในระยะที่รังไข่ใกล้สุกก่อนที่จะหลุดออกจากรังไข่จะมีช่องกลวงตรงกลาง
ในระยะก่อนการตกไข่ เซลล์ฟอลลิเคิลที่ล้อมรอบไข่จะสร้างฮอร์โมนอิสโทรเจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดลักษณะของผู้หญิง เช่น แตกเนื้อสาว คือมีเสียงเล็ก สะโพกผาย อวัยวะเพศและเต้านมมีขนาดโตขึ้น มีขนขึ้นตามบริเวณรักแร้ และอวัยวะเพศ อิสโทรเจนยังมีส่วนในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่รังไข่และเยื่อบุมดลูก โดยอิสโทรเจนในปริมาณที่สูงกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้า ให้หลั่ง LH มากระตุ้นไอโอไซต์ระยะที่ 2 หลุดออกจากฟอลลิเคิล ซึ่งเรียกว่า กาตกไข่ หลังจากนั้นฟอลลอเคิลมีการเปลี่ยนแปลงเป็นคอร์ปัสลูเทียม
คอร์ปัสลูเทียม จะสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน ซึ่งทำงานร่วมกับอิสโทรเจน เพื่อช่วยการเจริญเติบโตของเยื้อบุชั้นในของผนังมดลกให้หนาขึ้น เพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ผสม นอกจากนี้ยังมีส่วนกระตุ้นต่อมน้ำนมเติบโต แต่ไม่กระตุ้นการสร้างน้ำนม

ถ้าเซลล์ไข่ที่ตกไม่ได้รับการผสมจากอสุจิ คอร์ปัสลูเทียมจะเปลี่ยนแปลงและหยุดสร้างโพรเจสเทอโรน ทำให้เยื้อบุผนังมดลูกสลายตัวถูกขับออกมาจากมดลูก เรียกว่า ประจำเดือน (menstruation) และมีการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลชุดใหม่ โดยการควบคุมจากฮอร์โมน FSH และ LH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
รก
หลังจากเอ็มบริโอฝังตัวที่ผนังมดลูกแล้ว เซลล์ของรก (Placenta) จะเริ่มหลั่งฮอร์โมน ฮิวแมน คอริกโอนิก โกนาโดโทรฟิน (Human Chorionic Gonadotrophin: HCG) เพื่อกระคุ้นคอร์ปัสลูเทียมในรังไข่ให้เจริญต่อไปและสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนเพิ่มขึ้น

ต่อมไทมัส
ต่อมไทมัส (Thymus gland) มีลักษณะเป็นพู มีตำแหน่งอยู่ระหว่างกระดูกอกกับหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ มีหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิด ที หรือเซลล์ ที การแบ่งเซลล์และพัฒนาการของลิมโฟไซต์ชนิด ที อาศัยฮอร์โมน ไทโมซิน (thymosin) ซึ่งสร้างจากเซลล์บางส่วนของเซลล์ไทมัส ดังนั้นไทโมซินจึงเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้าภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ฮอร์โมนจากต่อมไทมัสและเนื่อเยื่ออื่นในร่างกาย
ต่อมไทมัส(Thymus glad) มีลักษณะเป็น 2 พู อยู่ตรงทรวงอก รอบเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจเป็นเนื้อเยื่อน้ำเหลือง ทำหน้าที่สร้างลิมโฟไซต์(T-Lymphotyce) หรือ T-Cell
การที่เนื้อเยื่อน้ำเหลืองสร้างเซลล์ได้ต้องมีฮอร์โมนThymosinที่สร้างจากเนื้อเยื่อบางส่วนของต่อมไทมัส ต่อมนี้เจริญเต็มที่ตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์แม่ และจะเสื่อมสภาพเรื่อยๆเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
นอกจากนี้ ฮอร์โมนบางชนิดยังสามารถสร้างจากเนื้อเยื่อในร่างกายได้เนื้อเยื่อสำคัญคือ เนื้อเยื่อชั้นในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ฮอร์โมนที่สร้างจากเนื้อเยื่อนี้เป็นสารประเภทโปรตีน มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร ได้แก่
1. Gastrin
เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากเนื้อเยื่อชั้นในของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่กระตุ้น ทำหน้าที่กระตุ้นหลั่งน้ำย่อยจากตับอ่อน การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
2. Sacretin
เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากเนื้อเยื่อชั้นในบริเวณดูโอดินัม ของลำไส้เล็ก ทำหน้าที่กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในตับอ่อน และกระตุ้นตับให้หลั่งน้ำดี เมื่ออาหารผ่านจากกระเพาะเข้าสู่ลำไส้เล็ก
ในทางการแพทย์ คนไข้ที่มีตับอ่อนสร้างเอนไซม์ออกมาน้อย หรือแผลบริเวณดูโอดีนัม อาจรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนซีครีทินเข้าทางหลอดเลือด
การควบคุมการทำงานของฮอร์โมนนี้
1. ควบคุมโดยระบบประสาทโดยตรง เช่น การทำงานของต่อมใต้สมองส่วนหลัง และอะครีนัลเมดัลลา
2. ควบคุมระบบประสาทโดยอ้อม เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมอะดรีนัลอร์เทกซ์ รังไข่ อัณฑะ ต่อมไร้ท่อเหล่านี้ถูกควบคุม โดยต่อมใต้สมองส่วนหน้า แต่ต่อมใต้สมองส่วนหน้าถูกควบคุมโดยฮอร์โมนส่วนประสาทจากสมองส่วนไฮโปทาลามัส
3. ควบคุมโดยฮอร์โมน โดยต่อมไร้ท่อจะสร้างฮอร์โมนมาควบคุมซึ่งกันและกัน ซึ่งมีทั้งกระตุ้น และยับยั้ง เช่นต่อมใต้สมองส่วนหน้าสร้างฮอร์โมนมาควบคุม และกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ สร้างฮอร์โมนไทรอกซินเพิ่มขึ้น เมื่อฮอร์โมนนี้มีมากเกินไปก็จะยับยั้งฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าอีกทีหนึ่ง การควบคุมแบบนี้เรียกว่า การควบคุมแบบย้อนกลับ (Negative feed back)
4. การควบคุมโดยผลของฮอร์โมน เช่น การหลั่ง Paratormone ถูกควบคุมโดยระดับแคลเซียม ในพลาสมา ถ้าระดับแคลเซียมในพลาสมาต่ำจะมีผลไปกระตุ้นต่อต่อมพาราไทรอยด์ ให้หลั่งParatormone ออกมามาก แต่เมื่อระดับแคลเซียมสูง จะเป็นการยับยั้งฮอร์โมนนี้
ฟีโรโมน (Pheromone)
Pheromone หมายถึง สารเคมีที่สัตว์ขับออกมานอกร่างกาย โดยต่อมมีท่อ (exocrine gland) ซึ่งไม่มีผลต่อตัวเอง แต่จะไปมีผล ต่อสัตว์ตัวอื่นที่เป็นชนิดหรือสปีชีส์เดียวกัน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม และสรีรวิทยาเฉพาะอย่างได้ฟีโรโมน จัดเป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสารสัญญาณดังนี้
1. สารดึงดูดเพศตรงข้าม (Sex Attractant)
2. สารเตือนภัย (Alarm Pheromone)
3. สารส่งเสริมการรวมกลุ่ม (Aggregation – Promoting Subtances)ยกว้นสารสารที่มีกลิ่นเหม็นๆของแมลงที่ผลิตออกมาเพื่อป้องกันศัตรู เรียกว่าAllomones
ฮอร์โมนจากแมลง
ฮอร์โมนจากแมลงมี 3 กลุ่ม คือ
1. ฮอร์โมนจากสมอง (brain hormone หรือ BH) เป็นกลุ่มฮอร์โมนซึ่งสร้างจาก neurosecretory cell ในสมอง กระตุ้นต่อมไร้ท่อบริเวณทรวงอก ทำให้สร้างฮอร์โมน molting hormone (MH) ไปเก็บไว้ใน corpus cardiacum ต่อไป
2. ฮอร์โมนเกี่ยวกับการลอกคราบ (molting hormone หรือ MH) สร้างบริเวณทรวงอกมีผลทำให้แมลงลอกคาบ และ metamorphosis เป็นตัวโตเต็มวัย
3. ฮอร์โมนยูวีไนล์(Juvenile hormone หรือ JH) สร้าง จากต่อมทางสมองมาทางซ้ายเรียก corpus allatum ทำหน้าที่ห้ามระยะตัวหนอนและดักแด้ไม่ให้ไม่ให้เป็นตัวเต็มวัย แต่ถ้ามี JH ลดลง จะกระตุ้นให้ลอกคราบแล้วกลายเป็นตัวเต็มวัยได้
จะเห็นได้ว่าในร่างกายมนุษย์เรามีฮอร์โมนมากมาย แต่ถ้าจะกล่าวถึงฮอร์โมนที่ตอบสนองกับการใช้ชีวิตประจำวัน มีดังนี้ จะขอกล่าวโดยสังเขป
ไม่ว่าจะเป็นเทสโทสเตอโรน, โดพามีน, เอ็นดอร์ฟิน, เซโรโทนิน, เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน, คอร์ติซอล และอีพีเนฟรีน (อะดรีนาลิน) ที่ทุกคนต้องเคยรู้จักชื่อกันมาบ้างล่ะ แต่จะรู้ไหมว่า 8 ฮอร์โมนนี้ มีความสำคัญอย่างไร และมหัศจรรย์ขนาดไหน เรื่องใกล้ตัวแบบนี้ รู้เอาไว้ไม่เสียหลายเนอะ

เทสโทสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศชาย
เมื่อคนเราเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาวแล้ว ก็ได้เวลาที่ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศออกมา ซึ่งเจ้า "เทสโทสเตอโรน" (Testosterone) นี่แหละคือฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดของเพศชาย เพราะจะไปกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นเพศชายออกมา และนี่เองที่ทำให้ผู้ชายมีรูปร่างลักษณะ อารมณ์ นิสัย ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากคุณสาว ๆ ไม่ว่าจะเป็น...
การมีเสียงทุ้มใหญ่ มีหนวด มีเครา ขนตามร่างกาย ศีรษะล้าน การสร้างเชื้ออสุจิ ลักษณะกล้ามเนื้อและกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง
ทำให้ผู้ชายมีนิสัยชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ รักสนุก ชอบความท้าทาย ขณะเดียวกัน ในบางช่วงฮอร์โมนนี้ก็ยังทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียด วิตกกังวล หดหู่ได้มากกว่าปกติเช่นกัน
ทำให้สนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น คิดถึงเรื่องเพศ มีความต้องการทางเพศ ชอบเรื่องเซ็กส์
แล้วรู้ไหมว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนนี้ผลิตออกมาจากไหน คำตอบก็คือ มันถูกอัณฑะสร้างขึ้นมาโดยสังเคราะห์มาจากคอเลสเตอรอล ซึ่งปริมาณฮอร์โมนของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ร่างกายบางคนผลิตเทสโทสเตอโรนออกมาสูง บางคนก็มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยเกินไป อาจรู้สึกว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศลดลง ปริมาณอสุจิมีน้อย อวัยวะเพศชายแข็งตัวไม่สมบูรณ์ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความสมบูรณ์ของร่างกายไป ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง และนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากมีฮอร์โมนในระดับเหมาะสมก็จะช่วยให้มีน้ำหนักตัวพอเหมาะ มีมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้นแล้ว เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คุณหนุ่ม ๆ ก็ควรรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไว้ไม่ให้ต่ำเกินไป ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยมีผลการวิจัยค้นพบว่า การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength training) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ยกน้ำหนัก ยกเวท มีผลทำให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นได้ด้วย
นอกจากนี้ เรายังสามารถกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างเพียงพอ คือวันละ 15-25 มิลลิกรัม ซึ่งจะพบมากในอาหารทะเล รวมทั้งตับ เนื้อวัว ผักสีเขียวเข้ม และผลไม้ เช่น แตงโม เมล็ดทานตะวัน ยิ่งถ้าได้รับวิตามินจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากในแครอท แคนตาลูป ส้ม มะเขือเทศ มะละกอสุก มะม่วงสุก และฟักทอง จะช่วยเสริมสร้างกันได้ดียิ่งขึ้น

เอสโตรเจน...ฮอร์โมนเพศหญิง
พูดถึงฮอร์โมนเพศชายไปแล้ว ต่อไปเรามารู้จัก "เอสโตรเจน" (Estrogen) ฮอร์โมนเพศหญิงกันบ้างดีกว่าเคยสังเกตไหมว่า สาว ๆ บางคนมีหน้าอกตู้ม สะโพกผาย สัดส่วนโค้งเว้าสวยเสียจนต้องเหลียวมอง (แม้แต่คุณผู้หญิงเองก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ ^^) รูปร่างเช่นนี้เป็นผลมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนนี่แหละ ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาจากรังไข่ แล้วกระจายไปตามกระแสเลือด ส่งต่อไปตามอวัยวะต่าง ๆ จึงส่งผลต่อรูปร่าง นิสัย อารมณ์ของเพศหญิง คือ
ทำให้มีหน้าอก เต้านมเต่งตึง สะโพกผาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
ช่วยเสริมสร้างเซลล์ให้เจริญเติบโต ซ่อมแซมระบบสืบพันธุ์ รักษาสภาพผนังช่องคลอด ควบคุมเมือกในช่องคลอดเพื่อป้องกันการอักเสบ ทำให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโต ควบคุมการตกไข่ กระตุ้นการหนาตัวของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นใน เพื่อรองรับการปฏิสนธิร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีไม่สม่ำเสมอ ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตามรอบของประจำเดือน สังเกตไหมล่ะ เวลาใกล้ประจำเดือนมาทีไร คุณสาว ๆ ที่เป็นนางฟ้าหลายคนเผลอแปลงร่างเป็นนางยักษ์ทุกที โดยช่วงที่มีเอสโตรเจนสูงจะเป็นช่วงหลังหมดประจำเดือนและระหว่างเตรียมการตกไข่ กินเวลาประมาณ 9-20 วัน
เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะมีปริมาณน้อยลง หรือมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ หมดอารมณ์ทางเพศ หนาวสั่นง่าย และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ผิวแห้งเหี่ยวย่น มีริ้วรอย หน้าอกหย่อนยาน ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ คันช่องคลอด ผมร่วง ฯลฯ
นอกจากนี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังช่วยในเรื่องความจำ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล เป็นตัวช่วยไม่ให้เกิดเมือกไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดภาวะกระดูกพรุน และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจดังนั้น หากรายใดมีเอสโตรเจนมากเกินไป ก็จะทำให้ไขมันสะสมได้มากขึ้น ทำให้อ้วนง่าย อารมณ์แปรปรวนมาก หงุดหงิดง่าย และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
ส่วนถ้าใครมีเอสโตรเจนต่ำเกินไป ก็จะมีรูปร่างผอม ไร้ทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่องคลอดบางและหย่อนยาน มดลูกฝ่อลีบ เต้านมมีขนาดเล็กลง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุนได้มาก เพราะสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในผู้หญิงวัยทองที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยลงก็ต้องหาวิธีเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยการทานอาหารอย่างน้ำมะม่วงสุก, น้ำมะพร้าวอ่อน, กุยช่าย หรือหากมีอาการวัยทองมาก ๆ แพทย์จะสั่งฮอร์โมนเสริมให้ เพื่อลดอาการวัยทอง

โปรเจสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศหญิง (สำคัญสำหรับสาวตั้งครรภ์)
นอกจาก "เอสโตรเจน" แล้ว สาว ๆ ก็ยังมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) อีกหนึ่งฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญมาก ๆ โดยถูกสร้างขึ้นมาจากรังไข่ และรก ทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจน มีหน้าที่สำคัญคือ ช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกชั้นในหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์ โดยเอสโตรเจนนั้นจะไปกระตุ้นให้มดลูกขยาย พร้อมจะหดรัดตัว แต่โปรเจสเตอโรนจะไปยับยั้งไม่ให้มดลูกรัดตัวมากจนเกินไป เพื่อให้ทารกฝังตัวที่มดลูกได้
นอกจากนี้ โปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนยังช่วยกันควบคุมการตั้งครรภ์ในช่วงแรก ๆ เช่น ปรับสภาพเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการฝังตัวได้ ช่วยสะสมไขมันให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เพื่อให้มีพลังงาน และสารอาหารเลี้ยงทารก รวมทั้งช่วยทำให้เต้านมขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมให้ลูกหลังคลอด นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ร่างกายหายใจเร็วขึ้น เพื่อสูดออกซิเจนเข้าปอดมาก ๆ นั่นจึงทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดแข้งปวดขา เพราะฮอร์โมนจะไปทำให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อยืดขยายนั่นเอง
นั่นคือหน้าที่หลัก ๆ ของโปรเจสเตอโรนในช่วงที่ตั้งครรภ์ แต่หากในช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โปรเจสเตอโรนก็จะไปสลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาขึ้น (จากการทำงานของเอสโตรเจน) ให้หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน อย่างที่สาว ๆ เป็นกันทุกเดือน ซึ่งระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนนี้ จะมีปริมาณสูงสุดประมาณวันที่ 21-23 ของรอบเดือน (หลังตกไข่ 1 สัปดาห์) แต่จะลดลงต่ำสุดประมาณวันที่ 1-9 ของรอบเดือน
เคยสังเกตไหมว่าช่วงหลังไข่ตก ซึ่งเป็นช่วงที่มีโปรเจสเตอโรนสูง ช่วงนั้นสาว ๆ จะมีสิวเห่อขึ้นทุกที นั่นเพราะโปรเจสเตอโรนที่หลั่งเพิ่มขึ้นไปทำให้เกิดการคั่งน้ำในร่างกาย จนทำให้รูขุมขนบวมมากขึ้น อีกทั้งยังหลั่งน้ำมันมาหล่อเลี้ยงผิวมากขึ้นจนเกิดการสะสมอุดตันตามใบหน้านั่นเอง
โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกมาไปจนถึงอายุ 50 ปีปลาย ๆ จากนั้น ฮอร์โมนจะเริ่มผลิตน้อยลง หรือที่เรียกว่าเข้าสู่ภาวะวัยทอง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแปลก ๆ เช่น นอนไม่หลับ เหงื่อออกง่าย ผิวแห้งเหี่ยว กระดูกพรุน ร้อนวูบวาบ น้ำหนักขึ้น ฯลฯ รวมทั้งลักษณะนิสัยที่มักจะหงุดหงิดง่าย มักมีปัญหาเรื่องอารมณ์ เกิดความรู้สึกเบื่อ เซ็ง ซึมเศร้า

โดพามีน...ฮอร์โมนหนึ่งมิตรชิดใกล้
โดพามีน (Dopamine) อีกหนึ่งฮอร์โมนที่สำคัญมาก ผลิตจากกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทไปกระตุ้นโดพามีน รีเซพเตอร์ (Dopamine Receptor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ โดพามีนยังจัดเป็นนิวโรฮอร์โมน (Neurohormone) ที่หลั่งจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งโปรแลคตินจากกลีบส่วนหน้าของต่อมใต้สมอง (ต่อมพิทูอิทารี) พร้อมกับเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญของคนกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาวนั่นเอง
ว่าแต่...เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเราล่ะ? คำตอบก็คือ โดพามีนจะทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ยิ่งมีการหลั่งสารนี้มากเท่าไร คนนั้นก็จะมีความพอใจหรือมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย (เหมือนกับสารเสพติดเลยล่ะ)
นอกจากนั้นแล้ว เจ้าสารสื่อประสาทตัวนี้จะช่วยให้เรารู้สึกมีความพึงพอใจ เกิดความรักใคร่ชอบพอ นั่นจึงมีการจัดให้โดพามีนเป็นสารเคมีแห่งรัก หรือ Chemicals of love ซึ่งมีผู้เคยวิจัยออกมาแล้วว่า โดพามีนนี้มีผลเกี่ยวกับการเลือกคู่หรือจับคู่จริง ๆ
และเช่นเดียวกัน ในร่างกายหลาย ๆ คนอาจมีการหลั่งสารโดพามีนออกมาน้อยเกินไป หรือเซลล์สมองส่วนที่สร้างโดพามีนตาย ซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุ นั่นจึงทำให้ผู้สูงอายุบางคนมีอาการทางระบบประสาท คือ โรคพาร์กินสัน ที่จะมีอาการมือไม้สั่น เกร็ง เคลื่อนไหวช้า เพราะโดพามีนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง
ตรงกันข้าม หากมีสารโดพามีนหลั่งออกมามากเกินไป ก็ทำให้เป็นคนคิดเร็ว สมองมีการตอบสนองดี สั่งการเร็ว อาจทำให้เป็นคนหุนหันพลันแล่น ไฮเปอร์ หรือก้าวร้าวได้ และถ้ายิ่งมีมากจนเกินขีด คนนั้นอาจกลายเป็นคนหวาดระแวง บ้าคลั่ง มีอาการป่วยทางจิต เพราะสารนี้จะไปกระทบกับสมองส่วนฟรอนทัลที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ ความจำ ซึ่งจากการทดสอบผู้ป่วยโรคจิตเภทก็พบว่ามีสารโดพามีนในสมองมากกว่าคนปกติ
วิธีรักษาความสมดุลของโดพามีนก็คือ พยายามรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง อาหารทะเล อัลมอนด์ เมล็ดธัญพืช กล้วย แอปเปิล เพราะโดพามีนผลิตมาจากกรดอะมิโนไทโรซีนที่มีในโปรตีนนั่นเอง จะช่วยให้สมองมีพลัง ตื่นตัว รู้สึกกระฉับกระเฉง

เอ็นดอร์ฟิน...ฮอร์โมนหลั่งเมื่อฉันฟิน
มีใครไม่รู้จักฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) บ้างเอ่ย? นี่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่คนน่าจะได้ยินชื่อกันบ่อยที่สุดเลยล่ะ เพราะคงจะเคยได้ยินคนพูดว่าฮอร์โมนนี้ทำให้เรามีความสุข คลายเครียด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเมื่อเรามีความสุขกายสบายใจ สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากขึ้น แล้วเข้าสู่กระแสเลือด จนสามารถไปกดการสร้างฮอร์โมนแห่งความเครียด เช่น นอร์เอพิเนฟริน ทำให้เรารู้สึกหายเครียด และยังเป็นผลให้ระดับภูมิคุ้มกัน (antibody) ในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย
แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะ เพราะหน้าที่หลักของเอ็นดอร์ฟินไม่ใช่แค่ทำให้เราเคลิบเคลิ้ม มีความสุข แต่คือการเป็นยาระงับปวดตามธรรมชาติ ที่ต่อมใต้สมองและไฮโปทาลามัสในกระดูกสันหลังสร้างขึ้นมาให้ออกฤทธิ์ไปยับยั้งและบรรเทาความเจ็บปวดให้เรานั่นเอง ซึ่งการทำงานของเอ็นดอร์ฟินจะคล้าย ๆ กับการทำงานของยามอร์ฟีน (Morphine) ที่ในทางการแพทย์จะใช้ฉีดระงับความเจ็บปวดให้คนไข้ และนอกจากจะมีบทบาทควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว เอ็นดอร์ฟิน ก็ยังควบคุมความรู้สึกหิว และเชื่อมโยงกับการผลิตฮอร์โมนเพศด้วย
รู้แบบนี้แล้ว ใครที่อยากให้สารเอ็นดอร์ฟินหลั่งมาก ๆ จะได้มีความสุข ก็แนะนำให้หมั่นออกกำลังกาย และออกไปรับแสงแดดในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินได้ แต่อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือ ลองหัวเราะดูสิ เพราะการวิจัยค้นพบว่า การหัวเราะ การยิ้ม การได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่เราพอใจจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้นด้วย หากร่างกายมีสารเอ็นดอร์ฟินมาก ๆ เราก็จะมีความสุข ไม่เครียด ระดับความดันโลหิตก็จะเป็นปกติ สุขภาพจิตดีแบบนี้ สุขภาพกายก็แข็งแรงแน่นอน

คอร์ติซอล...ฮอร์โมนแห่งความเครียด (แถมโรคอ้วน)
ต้องบอกว่าฮอร์โมนตัวนี้ ตรงกันข้ามกับ "เอ็นดอร์ฟิน" เลยล่ะ อย่างที่รู้กันว่าคนส่วนใหญ่อยากมีฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินมาก ๆ จะได้มีความสุข แต่คงไม่มีใครอยากมีฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มาก ๆ แน่ เพราะนี่เป็นฮอร์โมนที่จะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรามีความเครียด แต่ถึงกระนั้น คอร์ติซอล ก็ถูกจัดเป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (Essential Hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต หากขาดไปก็จะส่งผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย
สำหรับฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ถูกผลิตจากต่อมหมวกไต และจะถูกสร้างมากขึ้นในตอนเช้า เพื่อช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง และช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย เพื่อให้เราพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาระหว่างวัน ก่อนที่ระดับของฮอร์โมนจะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งตกเย็น และนอนหลับไป
แต่ใช่ว่าฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในตอนเช้าจะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงตอนเย็นนะจ๊ะ เพราะหากระหว่างวันเราเกิดความเครียดขึ้นเมื่อใด ร่างกายก็จะยิ่งหลั่งคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียดแล้วรู้ไหมว่า การที่ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งมาก ๆ มันจะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกโหยหิว อยากทานอาหารที่ให้พลังงานสูงมากขึ้น แล้วเก็บสะสมไขมันนั้นไว้เป็นพลังงาน เพื่อดึงออกมาใช้เมื่อคราวจำเป็น ซึ่งนี่เป็นกลไกของร่างกายที่จะชดเชยพลังงานที่คุณสูญเสียไปกับความเครียด ทำให้เรามีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียดนั่นหมายความว่า ยิ่งเครียดมากเท่าไร คุณก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น (แบบนี้คุณสาว ๆ คงไม่ปลื้้มแน่) เพราะอยากทานอาหารไขมันสูง ขนมหวาน ๆ อย่างบอกไม่ถูก
นอกจากนี้ คอร์ติซอล ยังจะหลั่งออกมามากในคนที่อดหลับอดนอนบ่อย ๆ เพราะยิ่งนอนน้อย ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอ เมื่อร่างกายอ่อนแอ ก็จะเกิดความเครียดขึ้นตามมา จึงไม่แปลกที่จะมีงานวิจัยชี้ว่า คนที่นอนน้อยมีโอกาสอ้วนมากกว่าคนที่นอนในระดับปกติ คือ 6-8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม คอร์ติซอล ไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวกับความเครียดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ลดการอักเสบของร่างกายด้วย
ทั้งนี้ หากระดับคอร์ติซอลสูงมาก ๆ เป็นเวลานาน ปัญหาที่ตามมาก็คือ การทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ ทำให้การทำงานของสมองส่วนนี้จะลดลง เซลล์ประสาท แขนงประสาทจะลดลง รวมทั้งไปขัดขวางเซลล์ใหม่ ๆ ที่มีการสร้างขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดยังจะไปกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคตามมาอีกเป็นพรวน เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ ในผู้หญิงอาจมีปัญหาประจำเดือนขาด ไขมันสะสมมากตามใบหน้า หน้าท้อง ต้นขา ส่วนคุณผู้ชาย ก็ต้องระวังสมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลง
เห็นความร้ายกาจแบบนี้แล้ว เราก็ควรรักษาระดับคอร์ติซอลให้สมดุล ไม่ให้หลั่งออกมามากเกินไป ด้วยการจัดการที่ต้นเหตุ นั่นก็คือ "กำจัดความเครียด" ซะ โดยอาจหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปเดินช้อปปิ้ง ฟังเพลงเพราะ ๆ หาหนังตลกมาดู ทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที นวดคลายเครียด หรือถ้าจะให้ดีก็ลุกขึ้นไปออกกำลังกายซะเลยดีกว่า นอกจากจะลดคอร์ติซอลได้แล้ว ยังเพิ่มระดับเอ็นดอร์ฟิน และช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ด้วย ต่อมาก็คือ พยายามอย่าอดหลับอดนอน และไม่ควรนอนดึกจนเกินไป ดังนั้น อย่าดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ เพราะมีสารคาเฟอีนไปทำให้เราไม่รู้สึกง่วงนอน และเป็นที่มาของอาการนอนไม่หลับ

อีพีเนฟรีน (อะดรีนาลิน)...ฮอร์โมนหลั่งป้องกันอันตราย
เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่เราโกรธจัด กลัว ตกใจมาก ๆ ตื่นเต้นสุด ๆ ร่างกายของเราจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น เช่น หน้าแดง ตัวสั่น มือสั่น หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นแรง มีกำลังวังชามากขึ้น นี่เป็นผลมาจากฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออีกชื่อว่า อีพีเนฟรีน (Epinephrine) ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกัน
ฮอร์โมนอะดรีนาลิน สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตจะหลั่งออกมาเวลาที่เราอยู่ในภาวะตกใจ โกรธ ตื่นเต้น ตกอยู่ในอันตราย หรือเกิดความเครียด ซึ่งเมื่อหลั่งออกมาแล้ว จะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น คือ
เปลี่ยนไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ทำมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การเผาผลาญอาหารเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาล
ทำให้แรงดันของโลหิตเพิ่มขึ้น
ทำให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะภายในต่าง ๆ ขยายตัว แต่เส้นเลือดขนาดเล็กที่ผิวหนัง และช่องท้องหดตัว และกลูโคสไปให้เซลล์ในร่างกายได้มากขึ้น และเข้าสู่ปอดได้รวดเร็ว
กระตุ้นให้หัวใจบีบตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น มีการสูบฉีดโลหิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวมากกว่าปกติ จะได้เตรียมต่อสู้ หรือหนี
กระตุ้นให้หลอดลมขยายตัว เพื่อให้ปอดรับออกซิเจนได้เต็มที่ ทำให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น
รูม่านตาเบิกกว้าง ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว มีพละกำลังมากขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้นให้กลไกของร่างกายทำงานในประสิทธิภาพขั้นสูงสุด ซึ่งจะช่วยเรามีพละกำลังรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และป้องกันตัวได้นั่นเอง
หากนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไรก็ลองนึกถึงเวลาเกิดไฟไหม้ดู เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนในอยู่ในสถานการณ์นั้นสามารถยกตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้าหนัก ๆ วิ่งปร๋อออกมาคนเดียวได้สบาย ๆ นั่นเพราะอะดรีนาลินที่หลั่งออกมาจะไปช่วยเพิ่มพลังให้เราสามารถเอาตัวรอดได้ แต่เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว ลองให้ยกตู้เย็นดูอีกครั้งยังไงก็ยกไม่ไหวแน่ ๆ นี่ล่ะคือพลังของอะดรีนาลิน ซึ่งจะช่วยให้เรามีพลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าใครมีการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมามากเกินไป โดยเฉพาะคนที่เป็นเนื้องอกในต่อมหมวกไตชั้นใน หรือได้รับสารนี้เกินขนาด ย่อมเกิดอันตรายต่อร่างกายแน่นอน ถ้าแบบไม่รุนแรงนักก็คือจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก น้ำหนักลด แต่น้ำตาลในเลือดสูง ผิวหนังตอบสนองเร็ว แต่ถ้ารุนแรงมาก ๆ ก็มีผลถึงแก่ชีวิต เพราะฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วมากเกินไป จนอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันและยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองแตก แต่หากขาดอะดรีนาลินไปเลย ก็จะทำให้เป็นคนอ่อนแอทั้งทางกายและจิตใจได้เหมือนกัน

เซโรโทนิน...ฮอร์โมนแห่งความสงบ
ฮอร์โมนตัวสุดท้ายที่จะแนะนำให้รู้จักกันคือ เซโรโทนิน (Serotonin) ใครที่มักมีอารมณ์เหงา เศร้า จนพาลนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนตัวนี้ด้วยล่ะ เพราะเซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนจำเป็นที่ชื่อว่า "ทริปโตเฟน" ที่อยู่ในสมอง มีหน้าที่ควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ควบคุมวงจรการนอนหลับ อุณหภูมิกาย ความดันโลหิต การหลั่งฮอร์โมน การรับรู้ความเจ็บปวด ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับระบบเข็มนาฬิกาของสมองนั่นเอง
หากร่างกายมีสารเซโรโทนินอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ตอบสนองต่อความเครียดได้ดี แต่ถ้าอยู่ในภาวะเครียด เซโรโทนินจะลดลง และจะให้ผลตรงกันข้าม คือ เราจะรู้สึกหงุดหงิด ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ หากมีอาการเจ็บปวดอยู่ก็จะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น บางคนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือภาวะไบโพลาร์ ที่เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวก็อารมณ์ร้ายได้เลย
ดังนั้น ใครที่ชอบเครียดง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนไม่หลับ ลองทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง ปลา จะได้รับกรดอะมิโนรวมทั้งทริปโตเฟนไว้ใช้สร้างสารเซโรโทนินด้วย และควรทานสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช รวมถึงเห็ด ถั่วเขียว หัวเผือก หัวมัน มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวโพด ผักกาดขาว แคนตาลูป ขนมปัง เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตเฟนให้มากขึ้น
อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะได้เกิดความสมดุล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำรงชีวิตที่ดี
Cr. วิกิพีเดีย, Kapook.com, Wordpress.com, วิชาการ.com
สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง..จะทำให้ฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างและนำไปใช้ได้อย่างสมบูรณ์.แต่ร่างกายจะแข็งแรงได้..ก็มาจากอาหารที่ทานเข้าไปทุกๆวัน....
เพื่อสุขภาพที่ดี..ขอแนะนำ..โกเรจินส์..Koregins...ประกอบด้วย..โสมสกัด, เห็ดหลินจือ, ถั่งเช่า, นมผึ้ง...ฯลฯ..อเลอไทด์..Alertide...ช่วยความจำ..ดีบูน... Dboone...กระดูกและข้อ...
ติดต่อ..เล็ก..092 451 5905...คลิ๊กเลย