อาการของเด็ก LD
1. ความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหว (Dyspraxia)
คือความบกพร่องของทักษะการเคลื่อนไหวและการประสานงานระหว่างสมองกับอวัยวะเป้าหมาย เด็กอาจใช้งานช้อนส้อมหรือดินสอลำบาก ผูกเชือกรองเท้าด้วยตนเองไม่ได้ พูดติดขัด เคลื่อนไหวลูกตาลำบาก ร่างกายไวต่อแสง การสัมผัส รสชาติ หรือกลิ่น เป็นต้น
2. ความบกพร่องด้านการคำนวน (Dyscalculia)
คือความบกพร่องของทักษะทางคณิตศาสตร์ เด็กอาจจดจำตัวเลข ตารางสูตรคูณ นับเลข หรือแก้โจทย์ปัญหาพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ได้ช้าหรือทำไม่ได้เลย
3. ความบกพร่องด้านการเขียน (Dysgraphia)
อาจมีปัญหาด้านการเขียนหนังสือ การสะกดคำ และไม่สามารถคิดและเขียนไปพร้อมกันได้
4. ความบกพร่องด้านการใช้ภาษา (Dyslexia)
คือความบกพร่องของทักษะการตีความภาษา ส่งผลให้มีปัญหาในการอ่านหรือการเขียน เด็กอาจอ่านหนังสือไม่ได้หรืออ่านได้ช้า จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ หรือไม่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจผ่านการเขียนหรือการพูด
5. ความบกพร่องด้านการฟัง
เด็กได้ยินเสียงเป็นปกติแต่ไม่สามารถตีความได้ ส่งผลให้อาจมีปัญหาในการอ่าน แยกแยะเสียงไม่ได้ จดจำคำพูดไม่ได้ หรือไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ยิน
6. ความบกพร่องด้านการมองเห็น
เด็กอาจขาดทักษะในการตีความข้อมูลภาพ ทำให้แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งของ 2 สิ่งไม่ได้หรือทำได้ช้า หรือตากับมือเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน
สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ต่อไปนี้ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยทันที
- มีปัญหาในการจดจำข้อมูล การอ่าน การเขียน การคำนวณ และทำการบ้านเองไม่ได้ ผู้ปกครองต้องช่วยทำทุกครั้ง
- เข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรมได้ยาก
- ไม่ใส่ใจรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทว่าบางรายอาจช่างสังเกตและให้ความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ มากเกินไปได้เช่นกัน
- ขาดทักษะการเข้าสังคม
- ไม่เข้าใจและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำสั่งสอน
- อวัยวะต่าง ๆ เคลื่อนไหวไม่ประสานงานกัน ทำให้อาจมีปัญหาในการเดิน เล่นกีฬา จับดินสอ หรือใช้ช้อนส้อม
- ไม่เข้าใจแบบแผนของเวลา
- ทำของใช้ส่วนตัวหายเป็นประจำ
- แสดงพฤติกรรมต่อต้านหรือมีอารมณ์ก้าวร้าวที่โรงเรียน
- ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่ยอมทำการบ้านหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะบางประการ เช่น การอ่าน การเขียน การคำนวณ เป็นต้น
สาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้
ภาวะความบกพร่องทางการเรียนรู้ยังไม่อาจระบุสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่นักวิจัยเชื่อว่าอาจมีปัจจัยบางอย่างกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติ ดังนี้
พันธุกรรม
คาดว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เด็กมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ทั้งนี้ นักวิจัยบางส่วนโต้แย้งว่าเด็ก LD อาจไม่ได้เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่เกิดจากการเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่
พัฒนาการสมอง
บางทฤษฎีกล่าวว่าเด็กที่มีพัฒนาการสมองผิดปกติ เช่น เด็กที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน คลอดก่อนกำหนด สมองขาดออกซิเจน หรือได้รับอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนสมอง อาจมีแนวโน้มเกิดภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้มากกว่าเด็กทั่วไป
สิ่งแวดล้อม
การสูดดมหรือสัมผัสสารพิษจากสิ่งแวดล้อมเป็นประจำ เช่น สารตะกั่ว รวมถึงโภชนาการที่ไม่ดีตั้งแต่เด็ก อาจส่งผลให้เกิดความพร่องทางการเรียนรู้
การรักษาเด็ก LD
ปัจจุบันไม่มีวิธีรักษาความบกพร่องทางการเรียนรู้ให้หายขาด แต่เทคนิคการสอนที่เหมาะสมกับเด็ก LD ความเอาใจใส่จากพ่อแม่และคนใกล้ชิด รวมถึงการใช้ยาและการเยียวยาตามคำแนะนำของแพทย์อาจช่วยบรรเทาอาการผิดปกติและพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ได้ การรักษาเด็ก LD แบ่งออกเป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้
การศึกษา
แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Plan: IEP) คือเทคนิคการสอนและการใช้สื่อการสอนที่เน้นพัฒนาทักษะด้านที่บกพร่องของผู้ป่วยแต่ละคน เช่น การนำหนังสือเสียงมาใช้กับเด็กที่ขาดทักษะทางการอ่าน การจัดกิจกรรมการสอนที่สอดคล้องกับความสามารถของเด็ก เป็นต้น
ครอบครัว
ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของเด็ก LD ว่าบุตรหลานบกพร่องทักษะชนิดใดและมีอาการผิดปกติอย่างไร เพื่อให้การดูแลได้อย่างเหมาะสม รวมถึงส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง เช่น กระตุ้นให้ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับให้เพียงพอ นอกจากนั้น คนในครอบครัวควรสนับสนุนให้เด็กมีความภูมิใจและมั่นใจในตนเอง หมั่นชื่นชมเมื่อเด็กทำได้ดีแม้เรื่องเล็กน้อย เปลี่ยนจากการตำหนิหรือลงโทษเป็นการอธิบายให้เข้าใจถึงผลเสียของการกระทำที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งคอยสังเกตว่าเด็กมีภาวะซึมเศร้าจากความรู้สึกแปลกแยกหรือไม่มั่นใจในตนเองหรือไม่
การแพทย์
แพทย์อาจแนะนำให้เด็ก LD บางรายรับประทานยาช่วยเพิ่มสมาธิ ทำให้เด็กจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ได้นานขึ้น รวมถึงแนะนำยาแก้โรคซึมเศร้าให้เด็กที่มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
การรักษาแพทย์ทางเลือก
มีงานวิจัยอ้างว่าการบำบัดด้วยดนตรีอาจช่วยรักษาความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้เช่นกัน