
5 สัญญาณอาการออฟฟิศซินโดรม ต้องระวัง
1. ทำงานอยู่ดีๆ มือก็ชา
ใช้เมาส์ไม่ถนัดเลยเพราะนิ้วชี้แข็งตึง ปวดร้าวถึงข้อมือ เป็นสัญญาณร้ายที่ร่ายกายกำลังบอกว่าถึงเวลาดูแลตัวเองได้แล้วนะ เพราะขณะที่เรากำลังนั่งตัวเกร็งปั่นงานอยู่นี้ กล้ามเนื้อตรงนิ้วมือของเราก็ทำงานหนักมาก จนอักเสบบวมไปกดทับตรงเส้นประสาท และเส้นเอ็นที่ข้อมือของเรา ทำให้นิ้วล็อค มือชา และเอ็นอักเสบไง หยุดพักสักหน่อยแล้วไปหาหมอเถอะ
2. ปวดหัวหนักมาก
บางคนเชื่อกันไปว่าเจ้ากรรมนายเวรมาทวงคืน แต่ที่จริงแล้วอาการปวดหัวเกิดขึ้นจากสาเหตุที่เราเครียดมากไปจากการทำงาน ไหนจะนอนน้อยแค่วันละ 2-3 ชั่วโมง เลยทำให้ตื่นสายจนต้องเร่งรีบไปทำงาน สภาพที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทำให้ร่างกายเราสร้างฮอร์โมนมาทดแทนไม่ทัน เลยไปกระตุ้นให้ปวดหัวหนักกันไปใหญ่ ปรับเปลี่ยนชีวิตฝึกยิ้มให้กับตัวเองจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น

3. ปวดร้าวตรงหลัง
จากการสะสางงานกองเบ่อเริ่ม การนั่งทำงานนานๆ จนไม่ได้ลุกเดินไปไหน จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า ลองสังเกตุตัวเราว่าจากคนที่นั่งหลังตรงทำงาน ผ่านไปไม่กี่นาทีจะค่อยๆ ห่อตัวไหลลงมากองที่เก้าอี้ เห็นตัวเองแบบนี้รู้ไหมว่ากล้ามเนื้อคอกำลังเกร็งอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ปวดร้าวที่หลังเรื้อรัง
4. ปวดแสบจริงจังทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ
พบได้บ่อยมากในสาวออฟฟิศ ที่ชอบกลั้นปัสสาวะนานๆ หรือทำงานเพลินจนลืมเข้าห้องน้ำจนติดเป็นนิสัย หากปล่อยไว้นานๆ อาจติดเชื้อแบคทีเรีย จะเริ่มปัสสาวะไม่ออกและแสบมากๆ บริเวณนั้น เป็นสัญญาณเตือนของ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่อยากให้ป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า
5. ทำงานหน้าคอมพ์ จู่ๆ ตาก็พร่ามัวขึ้นมาทันที
อาการแบบนี้น่ากลัวมากและเกี่ยวข้องกับการใช้สายตาโดยไม่ได้หยุดพัก ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ที่รู้กันดีว่ามีแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อลูกตา ลองคิดดูว่า หากคนเราใช้สายตาโดยไม่หยุดพักเลย ยกเว้นตอนนอน 8 ชั่วโมง (บางคนน้อยกว่านั้น) จะเท่ากับเราใช้สายตาจึง 4.6 วันตลอดสัปดาห์ มีเวลาหยุดพักเพียง 2 วันกว่าๆ เท่านั้นเอง อย่างนี้แล้วสิ่งที่ตามมาคือ การเสื่อมสภาพของเยื่อบุนัยตา และมีความเสี่ยงต่อต้อหินขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้น หากตาพร่าบ่อยๆ ให้พักสายตา และหากไม่ดูแลดวงตาก็อาจถึงขั้นตาบอดถาวรได้

ออฟฟิศซินโดรม โรคฮิตคนทำงานออฟฟิศ
เนื่องจากรูปแบบการทำงานในปัจจุบันอยู่ในพื้นที่จำกัด การนั่งในรถ, นั่งบนโต๊ะทำงาน และ ผูกติดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดกลุ่มอาการ "ออฟฟิศซินโดรม" ผู้ป่วยที่เข้าได้กับกลุ่มอาการนี้ในประเทศไทยพบเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55 เป็น ร้อยละ 60 แต่ในประเทศพัฒนาพบมากถึงร้อยละ80 และมักพบในช่วงอายุวัยทำงานคือ 16 - 44 ปี
กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ที่พบบ่อยมี 3 ระบบ

1. อาการทางระบบการมองเห็น อาการในกลุ่มนี้เกิดจากการมองจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งทำงานอยู่ในตำแหน่งที่มีแสงไม่เหมาะสม
2. อาการทางระบบทางเดินหายใจ เกิดจากการนั่งทำงานในห้องปรับอากาศที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือห้องที่มีมลภาวะจากหมึกเครื่องพิมพ์ หมึกเครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น
3. อาการทางระบบกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยสุด ส่วนใหญ่มาด้วยอาการปวด หรือ อาการเมื่อยล้า

อาการจากการทำงานที่พบได้บ่อย
- กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง (myofascial pain syndrome)
- เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (carpal tunnel syndrome)
- ความผิดปกติของความตึงตัวของเส้นประสาท (nerve tension)
- กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (tennis elbow)
- ปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณฐานนิ้วโป้งอักเสบ (De Quervain’s tendonitis)
- นิ้วล็อก (trigger finger)
- เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (tendinitis)
- ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (postural back pain)
- หลังยึดติดในท่าแอ่น (back dysfunction)
ในรายที่เริ่มเป็นใหม่ๆจะมีอาการเฉพาะช่วงพัก, ช่วงเว้นว่างที่ผู้ป่วยไม่ได้จดจ่ออยู่กับการทำงานหรือ ช่วงเวลาก่อนนอน ส่วนผู้ป่วยรายที่มีอาการหนักขึ้นอาจมีกล้ามเนื้อหดเกร็งค้าง ล๊อคข้อไว้ ทำให้เกิดอาการเจ็บแปล๊บขึ้นมาขณะเคลื่อนไหวร่างกายส่วนนั้นๆ บางรายมีความรู้สึกคล้ายอาการชา และรู้สึกยิบๆ บริเวณผิวหนังร่วมด้วย อาการทางระบบกล้ามเนื้อเหล่านี้เกิดจากการปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ มักเกิดขึ้นที่บริเวณ คอ บ่า ไหล่ มากที่สุด รองลงมาคือ หลังส่วนล่าง ส่วนบริเวณข้อมือและ แขน จะพบมากเป็นอันดับสาม
การรักษามี 3 ส่วน

1. ปรับเลี่ยง-ปรับลด-ปรับงด-ปรับแก้
- ลดปริมาณงาน
- แก้ไขท่านั่งทำงานและ ท่านั่งขับรถให้ถูกต้อง
- เลี่ยงการนั่งในรถและ นั่งท่าเดิมๆบนโต๊ะทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน
- งดความเครียดของตัวเองด้วยวิธีบำบัดต่างๆไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย, การฟังดนตรี จนถึงการปรับสู่อิริยาบถนอน เป็นต้น
- การรักษาแบบแรกนี้ผู้ป่วยจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องหรือ ทดลองปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองก็ได้
2. ปรับยืด-ปรับเหยียด-ปรับกด-ปรับประคบ
การออกแบบท่ากายบริหารเหยียดยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการ โดยผู้เชี่ยวชาญ การนวด กดจุด หรือการใช้เครื่องมือประคบทางกายภาพบำบัด
3. ปรับท่า-ปรับเพิ่ม-ปรับรักษา
การออกแบบท่าทางเพื่อให้ร่างกายส่วนนั้นๆได้เปรียบเชิงกลขณะทำงาน
การสอดแทรกท่ากายบริหารเพื่อเพิ่มความคงทนของกล้ามเนื้อที่มีอาการเข้าไปในการออกกำลังกายประจำวันของผู้ป่วย ซึ่งจะต้องวิเคราะห์และออกแบบให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย