1. BCG วัคซีนป้องกันวัณโรค
2. HBV วัคซีนป้องกันตับอักเสบบี
3, 7. DTwP (DTaP) วัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน
วัคซีนไอกรน
3.1 วัคซีนไอกรนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine หรือ Killed vaccine)
คือวัคซีป้องกันไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (Whole cell vaccine) โดยเป็นชนิดวัคซีนที่ทำจากเชื้อแบคทีเรียโรคไอกรนทั้งตัวที่ทำให้ตายแล้ว วัคซีนชนิดนี้มักทำให้เกิดปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีด บางครั้งหลังฉีดวัคซีนนี้อาจมีไข้ร่วมด้วย อาการมักจะเริ่มหลังฉีด 3 - 4 ชั่วโมงและจะคงอยู่ประมาณ 1 วัน
3.2 วัคซีนไอกรนชนิดที่ทำจากบางส่วนเฉพาะที่เกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรค/ภูมิคุ้มกัน (Subunitvaccine) ของแบคทีเรียโรคไอกรน
คือวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ (Acellular vac cine) ซึ่งวัคซีนกลุ่มนี้มักมีปฏิกิริยาภายหลังการฉีดวัคซีนน้อย
กลไกการทำงานของวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้จะเหมือนกันคือ จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนนี้ โดยร่างกายผู้ได้รับวัคซีนนี้เป็นผู้สร้างภูมิคุ้มกันนั้นเองที่เรียกว่า Active immunization วัตถุประสงค์ก็เพื่อป้องกันโรคไอกรน ถึงแม้ว่าจะป้องกันโรคไม่ได้ทั้งหมดแต่ทำให้อัตราการเกิดโรคและความรุนแรงของโรคลดลง
ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคไอกรนไม่มีรูปแบบที่เป็นวัคซีนป้องกันไอกรนชนิดเดี่ยว แต่จะอยู่ในรูป วัคซีนชนิดรวมโดยวัคซีนหนึ่งเข็มจะประกอบด้วย วัคซีนป้องกันโรคไอกรน วัคซีนบาดทะยักชนิดท็อกซอยด์ และอาจมีวัคซีนคอตีบประกอบอยู่ด้วย
วัคซีนไอกรนประเภท/ชนิดรวม
1) วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (Whole cell) หรือเรียกว่าวัคซีน DTwP
เป็นวัคซีนที่ทำจากพิษ/สารชีวพิษ (Toxin) ของแบคทีเรียคอตีบและของแบคทีเรียบาดทะยักและทำให้หมดฤทธิ์ด้วยสารเคมีที่เรียกว่า ท็อกซอยด์ Toxoid และจากตัวแบคทีเรียของเชื้อไอกรนทั้งเซลล์ที่ทำให้ตาย (Inactivated pertussis vaccine) ซึ่งวัคซีนรวมนี้ใช้สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี
2) วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (acellular) หรือเรียกว่า วัคซีน DTaP
เป็นวัคซีนที่ทำจากพิษ (Toxin) และทำให้หมดฤทธิ์ด้วยสารเคมีเรียกว่า ท็อกซอยด์ (Toxoid) ของเชื้อฯคอตีบและบาดทะยัก ส่วนเชื้อไอกรนทำจากส่วนประกอบเฉพาะบางส่วนของตัวเชื้อไอกรนวัคซีน DTaP จะมีปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ต่างๆน้อยกว่าวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (DTwP) เช่น ไข้ อาการบวมแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน และวัคซีนรวมชนิดนี้ใช้สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีได้เช่นกันกับชนิดแรก
ทั้งนี้ทั้ง DTwP และ DTaP มีขนาดและวิธีใช้ที่เหมือนกัน แต่ DTaP มีราคาแพงกว่าโดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่า และ DTaP ไมได้บรรจุอยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข DTaP จะถูกเลือกใช้ในกรณีที่ต้องการลดความเสี่ยงต่อปฏิกิริยาข้างเคียง (ผลข้างเคียง) ของ DTwP โดยเฉพาะในเด็กที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไข้เช่น เด็กที่มีโรคทางสมองเช่น เด็กโรคลมชัก หรือเด็กที่เคยมีปฏิกิริยามากมาก่อนต่อ DTwP
3) วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (Acellular) สูตรเด็กโตที่อายุ 7 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่หรือเรียกว่า วัคซีน Tdap
เป็นวัคซีนชนิดเดียวกับวัคซีนในข้อ 2 แต่มีการปรับลดปริมาณ ท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและปริมาณของเชื้อไอกรนลดลง แต่คงปริมาณท็อกซอยด์ของเชื้อบาดทะยักไว้เท่าเดิม ซึ่งการให้วัคซีนชนิดนี้เหมาะสมกับเด็กโตและผู้ใหญ่เพราะเด็กโตและผู้ใหญ่มีความไว/การตอบสนองต่อวัคซีนคอตีบและไอกรนมากกว่าในเด็กเล็ก จึงสามารถลดปริมาณเชื้อฯลงได้เพื่อลดผล ข้างเคียงของวัคซีน แต่ยังคงกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4, 8 OPV (IPV) วัคซีนป้องกันโปลิโอ
1) สามารถใช้ชนิดฉีด (ปัจจุบันรวมอยู่กับวัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก)แทนชนิดกินได้ทุกครั้ง
วัคซีนไวรัสโปลิโอ
4.1 วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral poliovirus vaccine หรือ Oral polio vaccine, OPV)
เป็นวัคซีนที่เตรียมขึ้นจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่มีชีวิต โดยเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสโปลิโอในเซลล์เพาะเชื้อไวรัสนี้ จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการที่ทำให้เชื้อฯอ่อนฤทธิ์ลง เพื่อให้ไม่ก่อเกิดโรคในผู้รับวัคซีนนี้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ และเนื่องจากเป็นวัคซีนฯที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการเลียนแบบการติดเชื้อโปลิโอทางธรรมชาติ คือ บริหารวัคซีน/ให้วัคซีนด้วยวิธีรับประทาน จึงทำให้ผู้ได้รับวัคซีน มีภูมิคุ้มกันทั้งในลำไส้และในเลือด จึงเป็นวัคซีนหลักในการลดอุบัติการณ์โรคโปลิโอ
สำหรับข้อเสียของวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดรับประทาน คือ การกลายพันธุ์และก่อโรคของเชื้อไวรัสโปลิโอที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ๋ ดังนั้นประเด็นเรื่องการกลายพันธุ์และเป็นตัวก่อโรคนี้เอง จึงยังเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพิจารณาทบทวนมาตรการให้วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดรับประทาน เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อนี้
4.2 วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดฉีด (lnactivated polio virus vaccine หรือ Inactivated polio vaccine, IPV)
เป็นวัคซีนที่เตรียมขึ้นจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแล้ว เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดฉีด จึงทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไวรัสโปลิโอสูงขึ้นเฉพาะในกระเเสเลือด ปัจจุบันวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดฉีด มีทั้งอยู่ในรูปวัคซีนชนิดเดี่ยว และวัคซีนชนิดรวมกับวัคซีนอื่น เช่น รวมกับวัคซีนฮิบ เป็นต้น
ปัจจุบัน สำหรับประเทศที่สามารถจัดการกับการติดเชื้อไวรัสโปลิโอให้หมดไปได้ ได้แล้ว ประเทศนั้นจะใช้วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดฉีด IPV ทดแทนวัคซีนชนิดรับประทาน OPV เนื่องจากลดโอกาสเกิดภาวะติดเชื้อไวรัสโปลิโอจากตัววัคซีนฯเอง เพราะวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดฉีด IPVถูกเตรียมขึ้นจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแล้ว แต่วัคซีนฯชนิดรับประทาน OPV เตรียมจากเชื้อฯที่มีชีวิต
ผลลัพธ์ของการได้รับวัคซีนโปลิโอชนิดใดก็ตาม จะเสริมสร้างให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ที่ได้รับ หรือเรียกว่า Active immunization วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ ซึ่งถึงแม้ว่าจะป้องกันโรคนี้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ความรุนแรงของโรคนี้ลดลง
ข้อบ่งใช้ของวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอคือ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็ก (Primary immunization) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุ 2 – 4 เดือน ปัจจุบัน ในประเทศไทย วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดรับประทาน OPV ได้ถูกบรรจุอยู่ในวัคซีนจำเป็นที่ต้องให้กับเด็กทุกคน ส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดฉีดIPV ยังคงเป็นวัคซีนเสริมหรือทดแทน และคาดว่าในอนาคตจะได้รับบรรจุให้เป็นวัคซีนจำเป็นที่ต้องให้กับเด็กทุกคนตามแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติ เนื่องจาก เหตุผลด้านความปลอดภัยที่ลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อโปลิโอจากตัววัคซีนฯชนิดOPV ดังได้กล่าวใน หัวข้อ “บทนำ และหัวข้อ ชนิดของวัคซีน”
ทั้งนี้ กลไกการออกฤทธิ์ของวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดรับประทาน OPV คือ เมื่อรับประทานวัคซีนที่ประกอบด้วยเชื้อไวรัสโปลิโอชนิดเชื้อเป็นที่ถูกทำให้อ่อนกำลังเข้าไปแล้ว เชื้อไวรัสโปลิโอจะเพิ่มจำนวนในลำไส้เล็ก ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไวรัสโปลิโอแก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนฯ หรือที่เรียกว่า Active immunization ซึ่งทำให้ความรุนแรงของโรคภายหลังการติดเชื้อไวรัสโปลิโอของเด็กลดลง
สำหรับกลไลการออกฤทธิ์ของวัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอชนิดฉีด IPV คือ ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน Active immunization ต่อเชื้อไวรัสโปลิโอแก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิดนี้เช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการที่ลำไส้ ซึ่งวัคซีนชนิดนี้สามารถให้ได้ทั้งกับเด็กที่แข็งแรงดี และกับเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อีกทั้งวัคซีน IPV ยังสามารถใช้ในผู้ใหญ่ ที่มีความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ และมีโอกาสที่จะสัมผัสเชื้อโปลิโอได้ เช่น นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด, แพทย์ หรือ ผู้ทำงานในห้องปฏิบัติการที่มีโอกาสรับเชื้อไวรัสโปลิโอ
5. MMR ป้องกันหัด หัดเยอรมัน คางทูม
6, 10 ๋JE วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ
ประวัติฉีดวัคซีน MBV ในอดีต | ข้อแนะนำในการฉีด live-attenuated JE |
---|---|
1เข็ม | ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3-24 เดือน (แล้วแต่ชนิดของวัคซีน) |
2-3 เข็ม | ฉีด 1 เข็ม ห่างจากเข็มสุดท้าย 1 ปี |
มากกว่าหรือเท่ากับ4เข็ม | ไม่ต้องฉีด |
ชนิดและรูปแบบเภสัชภัณฑ์ของวัคซีนไข้สมองอักเสบจีอี
1. วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี แบ่งได้เป็น 2 ชนิด/ 2 รูปแบบเภสัชภัณฑ์คือ
2. วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live-attenuated Vaccine): เป็นการนำเชื้อไวรัสเชื้อนี้มาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังคงความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ โดยใช้เชื้อไวรัสโรคนี้สายพันธุ์ SA14-14-2 ในการเพาะเลี้ยงและผลิตวัคซีน
9. HIB วัคซีนป้องกันเยื้อหุ้มสมองอักเสบ
อายุที่เริ่มฉีด | เดือนที่ของการฉีด PRP-T HbOC |
---|---|
2-6 เดือน | 0,2,4 ฉีดกระตุ้นอายุ 12-18 เดือน |
7-11 เดือน | 0,2 ฉีดกระตุ้นอายุ12-18 |
12-24 เดือน | เข็มเดียว |
>24 เดือน เฉพาะผู้ที่เสี่ยง | 0,2 |
ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคฮีบ เช่นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไม่มีม้าม หรือม้ามทำงานผิดปกติ |
โรคฮิบ เกิดกับเด็กวัยแรกเกิดถึง 5 ปี เกิดจากเชื้อแบคทีเรียนิดหนึ่งชื่อว่า ฮิโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิด B ซึ่งเชื้อพวกนี้จะอยู่ตามลำคอ ทำให้ติดต่อกันได้ง่ายโดยการใกล้ชิดสัมผัส โอกาสติดเชื้อจะเป็นง่ายเพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กในวันนี้ยังไม่สมบูรณ์ เพียงพอ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ให้เกิดโรคหลายชนิด เช่น ปอดบวม กล่องเสียงอักเสบ ผิวหนังอักเสบ ข้ออักเสบ และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
11. HAV วัคซีนป้องกันตับอักเสบเอ
12. VZV วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
13. Influenza วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
14. PCV วัคซีนนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต
อายุที่เริ่มฉีด | จำนวนครั้งที่ฉีด | การฉีดกระตุ้น |
---|---|---|
2-6 เดือน | PCV 3 ครั้งห่างกัน 6-8 สัปดาห์ | PCV 1 ครั้งอายุ12-15 เดือน |
7-11 เดือน | PCV 2 ครั้งห่างกัน 6-8 สัปดาห์ | PCV 1 ครั้งอายุ12-15 เดือน |
12-23 เดือน | PCV 2 ครั้งห่างกัน 6-8 สัปดาห์ | ไม่ต้องฉีด |
เด็กปกติ 2-5 ปี | PCV10 ให้ 2 ครั้ง PCV13 ให้1ครั้ง | ไม่ต้องฉีด |
เด็กเสี่ยง
|
|
ฉีดกระตุ้นด้วย PS-23 1เข็มห่างจาก PCVเข็มสุดท้าย 8 สัปดาห์ |
|
|
ฉีดกระตุ้นด้วย PS-23 1เข็มห่างจาก PCVเข็มสุดท้าย 8 สัปดาห์ |
PCV=Pneumococcal conjugated vaccine, PS-23=23-valent pneumococcal polysaccharide vaccine
15. Rota วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า
15.1 โรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าคืออะไร และป้องกันได้อย่างไร
ไวรัสโรต้า เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งในหลายชนิดที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงซึ่งอาจรุนแรงได้ มักพบในเด็กเล็ก โดยเด็กมักมีอาการไข้และอาเจียนร่วมด้วย โดยทั่วไปคาดว่าเด็กทุกคนจะติดเชื้อไวรัสนี้ก่อนอายุครบ 5 ปีไวรัสโรต้าเป็นสาเหตุประมาณครึ่งหนึ่งของโรคอุจจาระร่วงรุนแรง ที่ทำให้เด็กต้องนอนโรงพยาบาล ไวรัสนี้ระบาดได้ตลอดทั้งปีและพบมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว เชื้อพบได้ในอุจจาระของเด็กที่เป็นโรค ติดต่อได้โดยการรับประทานนม หรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือการที่เด็กเอาของเล่นที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่เข้าปาก เชื้อโรต้ามักทนทานในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นแม้จะมีสุขอนามัยที่ดี ก็ยังอาจเกิดโรคท้องร่วงจากไวรัสโรต้าได้ การหมั่นล้างมือ ล้างของเล่นจะช่วยลดโอกาสติดเชื้อไปได้มาก
โรคท้องร่วงจากไวรัสโรต้า สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน วัคซีนที่มีครอบคลุมเชื้อสายพันธุ์ที่พบบ่อย แต่ยังไม่ครอบคลุมเชื้อทุกสายพันธุ์
15.2 วัคซีนโรต้า คืออะไร
วัคซีนโรต้า ทำมาจากเชื้อไวรัสโรต้าที่ทำให้อ่อนฤทธิ์จนก่อโรคไม่ได้ จึงมีความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันโรค อย่างไรก็ตามวัคซีนยังคงป้องกันโรคได้ไม่สมบูรณ์ แม้จะได้รับวัคซีนก็ยังอาจเกิดโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าได้ แต่อาการมักไม่ค่อยรุนแรง
15.3 ใครควรได้รับวัคซีนโรต้า และจะต้องให้กี่ครั้ง อย่างไร
เด็กที่มีภูมิคุ้มกันปกติสามารถรับวัคซีนนี้โดยการรับประทาน เด็กควรได้รับวัคซีน 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง แล้วแต่ชนิดของวัคซีน โดยให้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า6 เดือน การให้รับประทานวัคซีนในแต่ละครั้งต้องห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์หลังจากรับประทานวัคซีน เด็กสามารถรับประทานอาหารและนมได้ตามปกติ
วัคซีนโรต้า สามารถให้พร้อมวัคซีนอื่นๆ ได้ ยกเว้นวัคซีนโปลิโอชนิดรับประทาน ซึ่งไม่ควรให้พร้อมกันควรให้วัคซีนโรต้าห่างจากวัคซีนโปลิโอชนิดรับประทาน อย่างน้อย 14 วัน หรือให้ใช้วัคซีนโปลิโอชนิดฉีดแทน
15.4 ใครไม่ควรรับหรือควรเลื่อนการรับวัคซีนโรต้า
วัคซีนโรต้าไม่ควรให้ในเด็กที่มีอายุเกินกว่าที่แนะนำ และเด็กที่มีภาวะดังต่อไปนี้ไม่ควรรับวัคซีน
15.5 อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังรับวัคซีนโรต้า
วัคซีนทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เด็กที่ได้รับวัคซีนโรต้าอาจมีอาการท้องร่วงหรืออาเจียนภายใน 7 วันหลังรับวัคซีนได้ แต่อาการจะมีเพียงเล็กน้อยและมีโอกาสพบน้อย ไม่พบทำให้เกิดอาการข้างเคียงรุนแรง การรับวัคซีนนี้มีความปลอดภัยมากกว่าการติดเชื้อไวรัสโรต้าตามธรรมชาติ วัคซีนนี้อาจพบมีส่วนของไวรัสอื่นแต่ไม่ก่อโรคในคน
การดูแลรักษาอาการข้างเคียง หากมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ในขนาดที่เหมาะสม หากอาการข้างเคียงเป็นรุนแรง หรือเป็นมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที และบอกอาการให้แพทย์ทราบโดยละเอียด
15.6 วัคซีนโรต้าอยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ และใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าวัคซีน
วัคซีนโรต้า ไม่อยู่ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นผู้ปกครองของเด็กที่จะรับวัคซีนนี้ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
16. HPV วัคซีนเอชพีวี
1) มีสองชนิดคือ ชนิดสองสายพันธ์ ( bivalent มีสายพันธ์ 16 และ18)และชนิด 4 สายพันธ์(quavalent มีสายพันธ์ 6,11,16,18)
วัคซีน HPV หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) อันเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส HPV ทำให้เซลล์ปากมดลูกอักเสบเรื้อรังและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้
ไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมีมากกว่า 40 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อยมี 2 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ 16 และ 18
การฉีดวัคซีน HPV ต้องฉีดให้ครบถ้วนทั้งหมด 3 ครั้ง
ในเด็กผู้หญิง หากฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี สามารถฉีดวัคซีนเพียง 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน
ผู้ที่ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ต่อสารประกอบในวัคซีน
ไวรัส HPV ไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ยังรวมไปถึงมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และหูดอวัยวะเพศด้วย ดังนั้นการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีน HPV ให้ครบถ้วนตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมช่วยให้ห่างไกลโรคได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน HPV
หน้าที่เข้าชม | 291,673 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 253,709 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ส.ค. 2568 |