
อาการของโรคเชื้อราในช่องปาก
อาการที่พบได้บ่อยของการติดเชื้อราในช่องปาก คือ การมีฝ้าขาวข้นเป็นมันที่เยื่อเมือกในช่องปาก ซึ่งฝ้านี้จะมีลักษณะคล้ายนมข้น (เมื่อใช้ปากคีบจับดูจะอ่อนยุ่ยคล้ายฝ้าน้ำนม) ถ้าขูดหรือลอกฝ้าออกจะพบพื้นข้างใต้อักเสบเป็นสีแดง และบางครั้งอาจมีเลือดซึมออกมาได้เล็กน้อย
- มีคราบสีขาวที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม หรือเพดานปาก ที่เหงือก และต่อมทอนซิล
- ลักษณะคราบขาวจะมีลักษณะคล้ายกับฝ้าในปาก
- ภายในช่องปากแดง หรือเป็นแผล จนส่งผลกระทบต่อการกลืนอาหารหรือการเคี้ยวอาหาร
- อาจมีเลือดออกซิบ ๆ มาจากบริเวณนั้นหากไปถู หรือขูด
- ผู้ที่ใส่ฟันปลอมอาจมีอาการปากแตกหรือเป็นรอยแดงที่มุมปาก
- รู้สึกปากแห้ง
- ลิ้นไม่ค่อยรับรู้รสชาติ

ฝ้าเหล่านี้จะกระจายเป็นหย่อม ๆ โดยมักจะพบที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเพดานปากก่อนเสมอ และเมื่อเป็นมากขึ้นจึงพบได้กับเนื้อเยื่อทุกส่วนในช่องปาก ลำคอ คอหอยส่วนปาก คอหอย และอาจลามไปยังหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และปอดในรายที่เป็นรุนแรง
ทารก และหญิงให้นมบุตร ทารกที่เกิดเชื้อราภายในช่องปากจะมีปัญหาเรื่องการดูดนม และมีอาการหงุดหงิดได้ง่าย นอกจากนี้ ยังอาจแพร่เชื้อไปยังมารดาได้ผ่านทางการดูดนมแม่ ทำให้มารดามีอาการติดเชื้อราที่บริเวณหัวนม และมีอาการดังต่อไปนี้
- เกิดอาการคัน เจ็บ ที่บริเวณหัวนม
- หัวนมมีลักษณะแดง หรือแห้งแตกผิดปกติ
- ลานหัวนมมีลักษณะเงา เป็นขุย
- มีอาการเจ็บขณะที่ขณะหัวนมขณะที่ให้นมบุตร
- อาจมีอาการเจ็บร้าวลึกเข้าไปในหน้าอก
ในระยะแรก ๆ อาจไม่พบอาการอื่นร่วมด้วย และถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็อาจจะไม่เห็นฝ้าขาว
ส่วนในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการเจ็บหรือแสบที่รอยฝ้า เจ็บในช่องปากหรือลำคอ, กลืนลำบากหรือเจ็บเวลากลืน, ผู้ป่วยอาจรู้สึกคล้ายมีอะไรติดอยู่ในลำคอ, อาจมีไข้ต่ำ ๆ, ลิ้นไม่รับรู้รสชาติ, มีอาการเบื่ออาหาร เป็นต้น

ถ้าพบในทารกอาจทำให้ทารกไม่ดูดนมหรือร้องงอแง ในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้เกิดขึ้น แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากโรคเชื้อราในช่องปากได้ คือ
- เกิดอาการเจ็บปากหรือคอ ทำให้ผู้ป่วยกลืนแล้วเจ็บ ส่งผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลงและมีอาการอ่อนเพลีย
- ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเอดส์) มักเป็นโรคเชื้อราในช่องปากอย่างรุนแรง เจ็บปากจนกินไม่ได้และขาดอาหาร บางรายเชื้ออาจลุกลามลงไปที่หลอดอาหาร ทำให้หลอดอาหารอักเสบ (Candidal esophagitis) มีอาการเจ็บหน้าอกเวลากลืน ทำให้กลืนลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน กินอาหารไม่ได้ และขาดอาหารได้ นอกจากนี้เชื้อรายังอาจกระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อร้ายแรง เช่น สมองอักเสบ ปอดอักเสบ หัวใจอักเสบ ไตอักเสบ เป็นต้น จนอาจเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
- ทารกที่เป็นโรคเชื้อราในช่องปาก หากดูดนมมารดา อาจทำให้เต้านมมารดาเกิดการอักเสบได้
โรคเชื้อราในช่องปาก
เชื้อราในช่องปาก / เชื้อราช่องปาก / เชื้อราในปาก (Oral candidiasis หรือ Oral candidosis, Oral thrush, Oropharyngeal candidiasis, Moniliasis, Muguet, Thrush) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อราแคนดิดา (Candida) ทำให้มีเชื้อราสะสมในช่องปากจนเห็นเป็นฝ้าสีขาวข้นที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเพดานปาก

เชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) หรือที่มักเรียกสั้น ๆ ว่า แคนดิดา (Candida) เป็นเชื้อราประจำถิ่นของผิวหนังและของเนื้อเยื่อในช่องปาก ลำคอ และอาจรวมไปถึงหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ และที่อวัยวะเพศ ซึ่งมีอยู่ในร่างกายเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว โดยในภาวะที่ร่างกายยังปกติเชื้อราชนิดนี้จะไม่เพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดโรคได้ เพราะยังมีเชื้อแบคทีเรียอีกหลายชนิดอยู่ด้วยกันที่ช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราแคนดิดาแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นได้
แต่ในกรณีที่เกิดการเสียสมดุลระหว่างเชื้อราแคนดิดากับเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น (เช่น สาเหตุจากการกินยาปฏิชีวนะติดต่อกันนานจนทำให้เชื้อแบคทีเรียถูกทำลายหมด) หรือเกิดจากการที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือบกพร่อง ก็จะส่งผลให้เชื้อราแคนดิดาเป็นอิสระและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนก่อให้เกิดการติดเชื้อแล้วทำให้ร่างกายกลายเป็นโรคขึ้นมาได้
ซึ่งโรคจากการติดเชื้อราแคนดิดานี้ ถ้าเกิดที่เยื่อเมือกในช่องปาก ลำคอ คอหอย ก็จะเรียกว่า เชื้อราในช่องปาก (Oropharyngeal Candidiasis) ถ้าเกิดที่หลอดอาหารจะเรียกว่า เชื้อราในหลอดอาหาร (Esophageal Candidiasis) หรือถ้าเกิดที่อวัยวะเพศหญิงก็จะเรียกว่า เชื้อราในช่องคลอด (Vaginal candidiasis) เป็นต้น

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้เรื่อย ๆ ไม่บ่อยนักในคนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่จะพบได้บ่อยในเด็กทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน ในผู้สูงอายุ และในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยเบาหวาน ฯลฯ แต่จะไม่ค่อยพบในวัยรุ่นและในคนวัยหนุ่มสาวที่มีภูมิคุ้มกันปกติ
สาเหตุของโรคเชื้อราในช่องปาก
สาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียสมดุลระหว่างเชื้อราแคนดิดา (Candida) และแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องปากจนกลายเป็นโรคเชื้อราได้ คือ
- การรับประทานยาหรือใช้ยาบางชนิดที่ทำให้เชื้อราแคนดิดาสามารถแบ่งตัวได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ยาเคมีบำบัด หรือยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ
- ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายุ ทารก เด็กเล็ก (ซึ่งภูมิคุ้มกันยังสร้างได้ไม่เต็มที่)
- การได้รับยาสเตียรอยด์พ่นทางปากหรือทางจมูกเป็นเวลานาน เช่น ในผู้ป่วยโรคหืด เพราะจะทำให้ยาสเตียรอยด์ตกค้างในช่องปากได้อย่างต่อเนื่องจนส่งผลทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย
- เกิดจากการฉายรังสีรักษา เพื่อรักษามะเร็งในอวัยวะส่วนศีรษะและลำคอ เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งคอหอยส่วนปาก
- เกิดจากภาวะปากแห้ง คอแห้ง เพราะจะส่งผลทำให้เชื้อราเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ
- ทารกติดเชื้อราชนิดนี้จากมารดาในขณะคลอด เช่น มารดาที่มีเชื้อราในช่องคลอดและคลอดบุตรทางช่องคลอดปกติ
- เกิดจากการให้นมบุตร โดยมักติดต่อกันไปมาระหว่างแม่และลูกจากการติดเชื้อราของแม่ที่หัวนม (จากการเปียกชื้นจากน้ำนม) หรือที่หัวจุกขวดนมที่ล้างไม่สะอาด และจะมีโอกาสเกิดได้สูงขึ้นเมื่อมารดาติดเชื้อราในช่องคลอดร่วมด้วย
- เกิดจากการใส่ฟันปลอม โดยเฉพาะฟันปลอมชนิดใส่เต็มปาก ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในช่องปากจนเยื่อเมือกในช่องปากเสียการต้านทานโรค และยังรวมไปถึงการไม่รักษาความสะอาดฟันปลอมให้ดีพอ ซึ่งมักจะพบเชื้อราได้ที่เพดานบน และในผู้ที่ใส่ฟันปลอมทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ถอดออกในช่วงก่อนเข้านอน

วิธีรักษาโรคเชื้อราในช่องปาก
1. โรคเชื้อราในช่องปากอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามจนเสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นหรือสงสัยว่าเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก ผู้ป่วยไม่ควรดูแลรักษาโรคนี้ด้วยตัวเอง แต่ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลก่อนเสมอ โดยเฉพาะเมื่อโรคเกิดในวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว เพราะโดยปกติแล้วคนกลุ่มนี้มักจะไม่ติดเชื้อราในช่องปาก ยกเว้นในกรณีที่มีโรคที่ส่งผลถึงภูมิต้านทานโรคต่ำซ่อนเร้นอยู่
2. เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก แพทย์จะมีแนวทางในการรักษาโรคเชื้อราในช่องปาก ดังนี้
การให้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายตัว เช่น
แอมโฟเทอริซิน บี (Amphotericin B),
เจนเชียนไวโอเลต (Gentian violet),
ไนสแตติน (Nystatin),
โคลไตรมาโซล (Clotrimazole),
อีโคนาโซล (Econazole),
ฟลูโคนาโซล (Fluconazole),
คีโตโคนาโซล (Ketoconazole),
ไอทราโคนาโซล (Itraconazole),
ไมโคโนโซล (Miconazole),
โพซาโคนาโซล (Posaconazole) เป็นต้น
ซึ่งยาเหล่านี้จะมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น ยาทา ยาอม ยาบ้วนปาก ยารับประทาน ยาเหน็บ และยาฉีด ทั้งนี้การที่แพทย์จะเลือกใช้ยาใดหรือรูปแบบใดนั้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดโรค ความรุนแรงของอาการ และดุลยพินิจของแพทย์ (โดยปกติแพทย์จะให้ใช้ยาเฉพาะที่ก่อน เช่น ยาบ้วนปาก ยาทา ยาอม ยาเหน็บ แต่ถ้าไม่หายจึงค่อยให้ยาแบบรับประทาน) ส่วนวิธีการใช้ยาแต่ละรูปแบบนั้นมีตัวอย่าง เช่น
IMAGE SOURCE : prawil.com
ยาทาเจนเชียนไวโอเลต หรือ ยาม่วง (Gentian violet) ในผู้ใหญ่ให้ใช้ชนิด 2% ส่วนในเด็กให้ใช้ชนิด 1% โดยให้ใช้สำลีก้านที่สะอาดจุ่มน้ำยาแล้วนำมาป้ายปากและลิ้นหรือบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย
หรือใช้ยาไนสแตติน (Nystatin) ชนิดน้ำ (100,000 ยูนิต/มิลลิลิตร) ป้ายปากครั้งละ 1 มิลลิลิตร วันละ 4 ครั้งจนกว่าจะหาย แล้วให้ต่อไปอีก 48 ชั่วโมง
สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต อาจใช้ยาอมโคลไตรมาโซล (Clotrimazole troche) ขนาดเม็ดละ 10 มิลลิกรัม อมครั้งละ 1 เม็ด โดยให้อมในปากจนละลายหมดแล้วกลืน วันละ 5 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน
ยารับประทานคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ขนาด 200 มิลลิกรัม หรือยารับประทานฟลูโคนาโซล (Fluconazole) ขนาด 100 มิลลิกรัม ให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์
การรักษาประคับประคองไปตามอาการ (เมื่อผู้ป่วยมีอาการอย่างไรก็ให้การรักษาไปตามอาการนั้น ๆ) เช่น ให้ยาแก้เจ็บคอ ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อย ๆ และบ้วนทุกครั้งหลังการรับประทานอาหาร หรือถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอมากจนรับประทานอาหารทางปากได้น้อยหรือรับประทานไม่ได้เลย การรักษาจะเป็นการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ เป็นต้น
การรักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุหรือการหลีกเลี่ยงสาเหตุ เช่น การรักษาควบคุมโรคเบาหวาน โรคหืด โรคเอดส์, การให้หยุดใช้ยาสเตียรอยด์, การให้หยุดยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
3. สำหรับการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเชื้อราในช่องปากหลังการไปพบแพทย์แล้ว คือ
3.1 ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ยาต่าง ๆ ที่ต้องรับประทานตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ขาดยา และไม่หยุดใช้ยาเอง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
3.2 ห้ามขูดหรือลอกฝ้าออก เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้
3.3 บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อย ๆ และบ้วนทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร โดยอาจเป็นน้ำเกลือที่ใช้บ้วนปากจากโรงพยาบาล (Normal saline) หรือจะใช้เป็นเกลือละลายน้ำในสัดส่วนที่ไม่เค็มมากก็ได้ โดยการผสมเกลือประมาณ ½ ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 แก้ว ใช้กลั้วคอและบ้วนทิ้ง
3.4 รักษาความสะอาดในช่องปากด้วยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน ร่วมไปกับการใช้ไหมขัดฟัน 1 ครั้งก่อนแปรงฟันก่อนนอน และเปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์และมีรสจืดเพื่อช่วยลดอาการแสบในช่องปากเมื่อแปรงฟัน เช่น ยาสีฟันเด็ก
3.5 ในกรณีที่ผู้ป่วยใส่ฟันปลอม ควรดูแลฟันปลอมให้สะอาดอยู่เสมอตามที่ทันตแพทย์แนะนำ
3.6 ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นหญิงให้นมบุตรและ/หรือในกรณีโรคเกิดในเด็กที่ดื่มนมมารดาหรือดูดนมจากขวด ควรดูแลหัวนมของมารดาและหัวนม/ขวดนมของลูกให้สะอาดอยู่เสมอ (ในกรณีที่เด็กเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก มารดาควรใช้ยารักษาโรคเชื้อราในช่องปากป้ายหัวนมมารดาพร้อม ๆ กันไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มารดาติดเชื้อ)
3.7 ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อผู้ป่วยไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปากแห้งและเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
3.8 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวาน ๆ เพราะจะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
3.9 ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาต่าง ๆ มาใช้เอง โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะและยาสเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
3.10 ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐานให้ดีและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
3.11 ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และควรไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ แย่ลง มีอาการผิดปกติที่ต่างไปจากเดิม รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อยหรือไม่ได้ มีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ ท้องเสีย ไอมาก ระดับการรู้สึกตัวต่ำกว่าปกติ หรือเมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่
4. ภายหลังการรักษา โดยทั่วไปโรคนี้จะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ และโรคมักจะจำกัดอยู่เฉพาะการติดเชื้อในช่องปากเท่านั้น แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำมาก เชื้ออาจลุกลามเป็นการติดเชื้อทั่วตัวจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้
5. ในรายที่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือใช้ยารักษาแล้วยังไม่ได้ผล หรือสงสัยว่าเป็นโรคเอดส์ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป (ถ้าพบว่าเป็นโรคเอดส์ จำเป็นต้องใช้ยารักษาเชื้อราให้ได้ผล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา)

วิธีป้องกันโรคเชื้อราในช่องปาก
1. รักษาสุขอนามัยพื้นฐานให้ดี
2. รักษาความสะอาดในช่องปากด้วยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน ร่วมไปกับการใช้ไหมขัดฟัน 1 ครั้งก่อนแปรงฟันก่อนนอน และเปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์และมีรสจืดเพื่อช่วยลดอาการแสบในช่องปากเมื่อแปรงฟัน เช่น ยาสีฟันเด็ก
3. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดการดื่มน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปากแห้ง
4. รักษาความสะอาดฟันปลอมตามที่ทันตแพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ
5. ในกรณีที่เป็นหญิงให้นมบุตรหรือเป็นเด็กบริโภคนมขวด ควรดูแลรักษาความสะอาดของหัวนมมารดาและหัวนม/ขวดนมของทารกอยู่เสมอ
6. ป้องกันและรักษาหรือควบคุมโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุหรือเป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคเชื้อราในช่องคลอด โรคหืด
7. ไม่รับประทานยาอย่างพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะและยาสเตียรอยด์ที่ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
8. ไม่แนะนำให้รับประทานยาป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของเชื้อรา เนื่องจากการให้ยาเมื่อเป็นโรคแล้วยังสามารถรักษาได้ผลดี แต่สำหรับผู้กลับมาเป็นซ้ำบ่อย ๆ แพทย์อาจให้รับประทานยาฟลูโคนาโซล (Fluconazole) วันละ 100-200 มิลลิกรัม
9. ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ
ลิ้นเป็นฝ้า (White Tongue)
ไม่ใช่โรคแต่เป็นหนึ่งในอาการชั่วคราวที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียหรือเชื้อรา รวมกับเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งติดอยู่ระหว่างตุ่มเล็ก ๆ บนเนื้อลิ้น

อาการของลิ้นเป็นฝ้า
บนผิวลิ้นจะปรากฏเป็นปื้นหรือรอยสีขาว อาจมีอาการเจ็บ หรือลักษณะอื่น ๆ ของลิ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
ทั้งนี้อาการลิ้นเป็นฝ้าไม่ใช่โรคหรืออาการร้ายแรง มักจะอยู่เพียงชั่วคราว แต่ถ้าหากอาการลิ้นฝ้ายังไม่หายไปหลังจากที่ผู้ป่วยใช้แปรงสีฟันแปรงลิ้นบริเวณที่เป็นสีฝ้าขาวเบา ๆ หรือหลังจากดื่มน้ำจำนวนมาก หรือเป็นนานว่า 2 สัปดาห์ อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อหรืออาการร้ายแรงอื่น ๆ ได้ด้วย
สาเหตุของลิ้นเป็นฝ้า
สาเหตุของอาการลิ้นเป็นฝ้านั้นเกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา รวมกับเซลล์ที่ตายแล้ว โดยเกิดจากการที่ปุ่มรับรสพองโต และในบางกรณีมีการอักเสบที่ปุ่มเหล่านั้นด้วย
สาเหตุที่ทำให้เกิดการพองโตหรือการอักเสบรวมทั้งอาการลิ้นเป็นฝ้าประกอบด้วยอาการปากแห้ง ช่องปากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม การสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาสูบ การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อาการไข้ หายใจทางปาก โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในผู้ใหญ่ การรับประทานอาหารแต่อาหารนิ่มหรือบดจนละเอียด และการระคายเคืองในช่องปากจากขอบฟันคม ๆ หรืออุปกรณ์เกี่ยวกับฟัน นอกจากนี้ ลิ้นเป็นฝ้ายังเกิดจากโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่สำคัญได้อีก เช่น
เชื้อราในปากซึ่งเป็นการติดเชื้อของเชื้อราภายในปาก จากเชื้อแคนดิดา (Candida Yeast) มักเกิดขึ้นบ่อยในผู้ป่วยวัยทารกหรือวัยสูงอายุ เชื้อราในปากอาจก่อให้เกิดความรู้สึกแสบร้อนร่วมกับขุยสีขาวบนลิ้นที่สามารถขูดออกได้
ทั้งนี้เชื้อราในปากอาจเกิดขึ้นได้ง่ายหากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย ใส่ฟันปลอม หรือมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำ อย่างการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ลิ้นลายแผนที่ (Geographic Tongue)
ซึ่งปกติแล้วลิ้นธรรมดาจะมีปุ่มรับรสเล็ก ๆ (Papillae) สีชมพูหรือขาวขึ้นปกคลุม คล้ายกับตุ่มขนสั้น ๆ แต่สำหรับลิ้นลายแผนที่ปุ่มรับรสเหล่านั้นจะหายไปเหลือเพียงลิ้นที่ราบเรียบ มีลายสีแดงคล้ายกับเกาะซึ่งมีขอบนูนเล็กน้อยดูเหมือนรูปแผนที่ทั้งนี้ลิ้นลายแผนที่ไม่ใช่อาการรุนแรงต่อร่างกายและไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อโรคมะเร็งแต่อย่างใด
โรคฝ้าขาว (Leukoplakia) เกิดจากการทับถมของโปรตีนเคอราติน รวมทั้งการผลิตเซลล์จำนวนมากจากช่องปากจนเกิดเป็นรอยสีขาวปรากฏบนเนื้อลิ้น อาจเป็นผลจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปร่วมกับการสูบบุหรี่
ถึงแม้ว่าปกติแล้วโรคฝ้าขาวจะไม่เป็นอันตราย แต่ในบางกรณีก็อาจกลายเป็นโรคมะเร็งได้ โดยมากจะพบในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคฝ้าขาวนานหลายปีซึ่งอาจนานถึง 10 ปี
โรคไลเคนพลานัสในช่องปาก (Oral Lichen Planus) ที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วผู้ที่ป่วยเป็นโรคไลเคนพลานัสในช่องปากเพียงเล็กน้อยจะไม่รู้สึกเจ็บปวด
แต่ในบางกรณีก็อาจรู้สึกแสบร้อน รวมถึงเจ็บปวดบริเวณเหงือก หรือพบรอยที่สร้างความปวดในบริเวณกระพุ้งแก้มในช่องปากได้
โรคซิฟิลิส (Syphilis) ซึ่งเกิดจากการทำออรัลเซ็กซ์ให้คนที่มีเชื้ออยู่แล้ว โดยก่อให้เกิดแผลเล็ก ๆ บนลิ้นแต่ไม่สร้างความเจ็บปวด มักเกิดขึ้นหลังจากการได้รับเชื้อตั้งแต่ 10 วันไปจนถึง 3 เดือนและหากไม่ได้รับการรักษาอาจก่อให้เกิดรอยขาวบนลิ้นซึ่งเรียกว่าฝ้าขาวจากซิฟิสิสได้
มะเร็งช่องปาก เกิดจากการเติบโตของเซลล์มะเร็งบริเวณภายในช่องปากมะเร็งลิ้น (Tongue Cancer) มักเกิดจากเซลล์สแควมัสชนิดผอมแบน (Squamous Cells) ที่พบบนผิวลิ้นของผู้ป่วย ทั้งนี้กระบวนการรักษาจะแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของเซลล์มะเร็งนั้น ๆ
การวินิจฉัยลิ้นเป็นฝ้า
ถึงแม้ว่าอาการลิ้นเป็นฝ้าจะมองเห็นได้ด้วยตนเอง ถ้าหากระยะเวลาผ่านไปมากกว่าส 2 สัปดาห์แต่ผู้ป่วยพบว่าอาการลิ้นเป็นฝ้ายังไม่หายโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยหาสาเหตุหรือความเป็นไปได้ของโรคอื่น ๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามแต่กรณี โดยอันดับแรกแพทย์อาจวินิจฉัยอาการในช่องปากของผู้ป่วยเบื้องต้น
การรักษาลิ้นเป็นฝ้า
าการลิ้นเป็นฝ้าเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุซึ่งส่งผลต่อวิธีการรักษาให้แตกต่างกันไปตามแต่กรณีของสาเหตุโรค หากผู้ป่วยพบว่าลิ้นเป็นฝ้าเกิดขึ้นจากเชื้อราในปากอาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อรา ซึ่งมีตัวยาหลายรูปแบบทั้งแบบอม แบบเจล แบบยาน้ำใช้ทาโดยตรงในช่องปาก หรือยารับประทาน โดยทั่วไปมักใช้ระยะเวลาในการรักษาราว 7-14 วัน การใช้ยาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงแม้ว่าจะพบได้น้อยก็ตาม เช่น รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย ในขณะที่อาการลิ้นเป็นฝ้าจากลิ้นลายแผนที่ (Geographic Tongue) ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรักษาแต่อย่างใด
การป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า
ผู้ป่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการลิ้นเป็นฝ้าได้หลายวิธี ทั้งการป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดลิ้นเป็นฝ้าโดยทั่วไป ซึ่งมักเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพและความสะอาดของช่องปากในชีวิตประจำวันอย่างถูกวิธี เช่น การแปรงฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ไหมขัดฟัน รวมถึงการแปรงลิ้น

สำหรับการป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราในช่องปาก ทำได้โดยการหมั่นบ้วนปาก การแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
การทำความสะอาดฟันปลอมในทุก ๆ วัน ระมัดระวังอาหารที่บริโภคในแต่ละวันโดยเฉพาะการควบคุมปริมาณน้ำตาลหรือยีสต์ การควบคุมระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การรักษาโรคเชื้อราในช่องคลอด และหมั่นพบแพทย์
และแม้ว่าโรคฝ้าขาว (Leukoplakia) และโรคไลเคนพลานัสในช่องปากไม่สามารถป้องกันได้ แต่สำหรับโรคฝ้าขาว ผู้ป่วยเฝ้าระวังการกลายเป็นมะเร็งลิ้นหรือมะเร็งในช่องปากได้
ส่วนโรคซิฟิลิสผู้ป่วยสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อได้ด้วยการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องปาก ช่องคลอด และทวารหนัก ใช้แผ่นยางอนามัย (Dental Dam) ทุกครั้งที่ทำออรัลเซ็กซ์ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการร่วมเพศ (Sex Toys) ที่ไม่สะอาด

ส่วนการป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้าที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปากและลิ้น ผู้ป่วยอาจดื่มแอลกอฮอล์แค่พอควรเนื่องจากแอลกอฮอล์สร้างความระคายเคืองให้ช่องปากจนเกิดเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งการเลิกใช้ยาสูบทุกประเภท หมั่นตรวจสุขภาพช่องปาก รวมทั้งการเลือกรับประทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปากได้
สุขภาพที่แข็งแรงจะต้านทานเชื้อโรคที่จะเข้ามาหาเรา ดังนั้นอาหารที่รับประทานจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากท่านคิดว่าทานอาหารที่มีประโยชน์มีปริมาณและสัดส่วนที่ครบเหมาะสมกับร่างกายทุกวันๆ แล้ว เราก็ดีใจด้วย
Cr. Pobpad, Mthai
แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นก็ขอแนะนำ..สกัดจากธรรมชาติ..โกเรจินส์..อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เพื่อร่างกายของทุกคน
ส่วนประกอบใน 1 เม็ด ประกอบด้วย
สารสกัดมาตรฐานโสม.................150 มก.สารสกัดจากเห็ดหลินจือ..............150 มก.นมผึ้ง (Royal Jelly).....................100 มก.สารสกัดจากถั่งเช่า.......................100 มก.เบต้ากลูแคนจากยีสต์ 85%.........100 มก.แอล ซิสเตอิน...............................100 มก.แคลเซี่ยมแอสคอร์เบต 97% .....74.84 มก.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น.................30 มก.สารสกัดจากเปลือกสน.................30 มก.
ติดต่อ..เล็ก..092 451 5905..คลิ๊กเลย!