
ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid)
คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ เหงื่อออกง่าย และหงุดหงิด ฉุนเฉียว เป็นต้น
ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมที่อยู่ส่วนหน้าของบริเวณลำคอใต้ลูกกระเดือก และติดกับหลอดลม มีลักษณะคล้ายผีเสื้อ ลักษณะทางกายภาพของต่อมแบ่งเป็นทั้งหมด 2 ซีก คือ ซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งต่อมทั้ง 2 ซีกจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) โดยต่อมไทรอยด์จะทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนไทโรซีน (Thyroxine - T4) และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการเผาผลาญของร่างกายและฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด ซึ่งถ้าหากเกิดความผิดปกติจนทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ฮอร์โมนไทโรซีน และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน ก็จะถูกผลิตออกมามากจนกลายเป็นพิษ
อาการของไทรอยด์เป็นพิษ
อาการไทรอยด์เป็นพิษค่อนข้างคลุมเครือและคล้ายกับอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ทั้งนี้ถ้าหากผู้ป่วยมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่รุนแรงมากนัก ก็อาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมา โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาการมักไม่ค่อยแสดงออกอย่างชัดเจนมากนัก อย่างไรก็ตามอาการต่อมไทยรอยด์เป็นพิษก็ถือเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้
อาการที่พบได้มากที่สุดในคนที่มีอาการไทรอยด์เป็นพิษก็คือ อาการคอพอก ซึ่งเป็นอาการที่ต่อมไทรอยด์โตขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกหรือเห็นก้อนขนาดใหญ่ที่บริเวณคอ ซึ่งบางครั้งแพทย์ก็อาจสามารถตรวจพบอาการคอพอกได้ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ เช่น

- อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ
- คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว
- นอนหลับยาก
- มีปัญหาสายตา เช่น ตาโปน เห็นภาพซ้อน เป็นต้น
- สุขภาพผมเปลี่ยนไป ผมเปราะบางขาดง่าย และมีอาการผมร่วง
- ผู้หญิงมีรอบเดือนผิดปกติ ประจำเดือนมีสีจางและมาไม่สม่ำเสมอ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะบริเวณต้นขาและต้นแขน
- เล็บยาวเร็วผิดปกติ
- หัวใจเต้นเร็วมากกว่า 100 ครั้ง/นาที โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- มือสั่นตลอดเวลา
- มีอาการคัน
- เหงื่อออกมาก
- ผิวหนังบาง
- น้ำหนักลด แต่มีความอยากอาหารมากขึ้น
- อาจพบเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นในเพศชาย
ทั้งนี้หากเริ่มมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณสำคัญของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หรือเกิดจากเนื้องงอกที่บริเวณต่อมหมวกไตได้ หากปล่อยไว้จะยิ่งรักษาได้ยากมากขึ้น
สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ
สาเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษ เกิดขึ้นจากการที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของฮอร์โมนไทรอยด์มากกว่าความต้องการของร่างกาย และมีสภาวะเป็นพิษ จนส่งผลต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ โดยไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
- โรคเกรฟวส์ (Graves' Disease) จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากผิดปกติจนกลายเป็นพิษ ซึ่งยังคงไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าโรคเกรฟวส์นั้นเกิดจากอะไร พบเพียงแต่ว่าโรคดังกล่าวมักเกิดขึ้นในผู้หญิงในวัยรุ่นและวัยกลางคน อีกทั้งยังเป็นได้ว่าเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยการสูบบุหรี่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคเกรฟวส์มากขึ้น
- การรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารที่มีไอโอดีนมากเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์
- เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ เป็นกรณีที่พบได้น้อย เนื้องอกที่เกิดบริเวณไทรอยด์ และเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมใต้สมอง อาจส่งผลให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษได้
- การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis) การอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุของต่อมไทรอยด์สามารถส่งผลต่อการทำงานของของต่อมไทรอยด์ได้ โดยการอักเสบของต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอรโมนไทรอยด์ถูกผลิตออกมามากขึ้น และทำให้ฮอร์โมนรั่วไหลออกไปที่กระแสเลือด ทั้งนี้การอักเสบของต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บ ยกเว้นอาการไทรอยด์อักเสบแบบกึ่งเฉียบพลันที่เกิดขึ้นได้น้อย สามารถส่งผลให้เกิดอาการเจ็บได้
- การได้รับการเสริมฮอร์โมนไทรอยด์ที่มากเกินไป ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางชนิด เช่น ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์มากขึ้นจนกลายเป็นพิษ

การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
การรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น อายุ เงื่อนไขทางร่างกาย รวมถึงสาเหตุและความรุนแรงของโรค โดยวิธีที่ใช้ในการรักษามีดังนี้
- การรับประทานยาต้านไทรอยด์ ยาเมไทมาโซล (Methimazole: MMI) และยาโพพิลไทโออูราซิล (Propylthiouracil: PTU) เป็นยาต้านไทรอยด์ที่มีการใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย โดยกลไกการทำงานของยาคือ ตัวยาจะเข้าไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ให้สร้างฮอร์โมนมากจนเกินไปภายใน 2-8 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้จัดปริมาณการใช้ยาให้ทุก ๆ 4 สัปดาห์ โดยพิจารณาจากผลการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งการรักษาด้วยยาต้านไทรอยด์จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายของผู้ป่วย ทั้งนี้ผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่พบได้ก็คือ อาการแพ้ยาที่อาจทำให้เกิดผื่น มีไข้ และปวดตามข้อ แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงอย่างภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Agranulocytosis) แต่พบได้น้อย ทำให้ในการใช้ยานี้แพทย์อาจต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับเม็ดเลือดขาวควบคู่ไปกับการรักษาในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะนี้ด้วย
- การรักษาด้วยรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine) เป็นการรักษาด้วยการรับประทานสารรังสีไอโอดีน ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย โดยสารชนิดนี้จะถูกดูดซึมโดยต่อมไทรอยด์ และทำลายเนื้อต่อม ทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ หดตัวลงและอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-6 เดือน แต่ก็มีผลข้างเคียงคือจะทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อยลงจนเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเสริมฮอร์โมนไทรอยด์ร่วมด้วย การรักษาด้วยรังสีนี้จะใช้กับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
- การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือไม่สามารถใช้ยาในการรักษาหรือรักษาด้วยรังสีไอโอดีนได้ การผ่าตัดก็จะช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ แต่เกิดในกรณีที่น้อยมาก โดยในการผ่าตัด แพทย์จะนำต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่ออกเพื่อรักษาอาการ แต่ความเสี่ยงในการผ่าตัดก็คืออาจทำลายเส้นเสียงและต่อมพาราไทรอยด์ได้ และหลังจากทำการผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อรักษาระดับฮอร์โมนไปตลอดชีวิต อีกทั้งหากในการผ่าตัดมีการนำเอาต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วย ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับแคลเซียมด้วย
- การใช้ยาต้านเบต้า (Beta Blockers) ยาต้านเบต้าจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง บรรเทาอาการใจสั่น และอาการวิตกกลังวล และมักใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ทว่ายาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องผูก ท้องเสีย หรือวิงเวียนศีรษะ
- การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โรคไทรอยด์สามารถก่อเกิดภาวะขาดน้ำได้ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยลดภาวะขนาดน้ำและทำให้อาการดีขึ้น
ไทรอยด์เป็นความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้ป่วยเคยป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษหากสิ้นสุดการรักษาแล้ว การติดตามผลในระยะยาวก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค เพื่อไม่ให้โรคไทรอยด์เป็นพิษกลับมาเป็นซ้ำอีก
ขอแนะนำ..โกเรจินส์ (Koregins)..เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสกัดจากธรรมชาติ..
- สารสกัดมาตรฐานโสม.................150 มก.
- สารสกัดจากเห็ดหลินจือ..............150 มก.
- นมผึ้ง (Royal Jelly).....................100 มก.
- สารสกัดจากถั่งเช่า.......................100 มก.
- เบต้ากลูแคนจากยีสต์ 85%.........100 มก.
- แอล ซิสเตอิน...............................100 มก.
- แคลเซี่ยมแอสคอร์เบต 97% .....74.84 มก.
- สารสกัดจากเมล็ดองุ่น.................30 มก.
- สารสกัดจากเปลือกสน.................30 มก.
..ติดต่อ..เล็ก..คลิ๊กเลย..092 451 5905